ผลพวงจากสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่เริ่มตั้งแต่ 7 ตุลาคม ปีที่แล้ว ทำให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยเก่าแก่ชั้นนำ หรือไอวีลีก (Ivy League) ในสหรัฐต้อง
ลาออกจากตำแหน่งไปแล้วสองคน คือ
Liz Magill จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย(ลาออกเมื่อ 12 ธ.ค. 2023) และ Claudine Gay จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (2 ม.ค. 2024) ล่าสุด…ตอนนี้ Nemat Shafik อธิการบดี มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ก็กำลังถูกกดดันให้ลาออกอีกคน เพราะไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงของนักศึกษาที่สนับสนุนปาเลสไตน์และออกมาเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยเปิดเผยงบการเงินและเลิกรับเงินบริจาคจากกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล
ก่อนหน้านั้น Sally Kornbluth อธิการบดีของ M.I.T. ก็โดนกดดันให้ลาออกด้วย เช่นเดียวกับ Magill และ Gay เมื่อตอนที่เธอทั้งสามไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2023 กรณีการชุมนุมต่อต้านยิวในมหาวิทยาลัยที่พวกเธอเป็นผู้บริหารดูแลอยู่ แล้วไม่เป็นที่สบอารมณ์ของคณะกรรมาธิการและคนอเมริกันเชื้อสายยิว แต่ด้วยความที่ Kornbluth เป็นอเมริกัน-ยิว เลยรอดตัวไป ไม่ถูกกดดันมากเท่ากับสองคนแรก ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายถ้า Shafit อธิการบดี มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่เป็นชาวอังกฤษ-อเมริกัน เชื้อสายอียิปต์จะต้องลาออกไปอีกคน
ดังที่ทราบกัน ชนชาติยิวไม่ว่าจะไปตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ ที่ใด มักจะประสบความสำเร็จ มีอาชีพเป็นหลักเป็นฐาน มีการศึกษาดี เป็นพ่อค้า ผู้ประกอบการ นายธนาคาร นักวิทยาศาสตร์ ครูอาจารย์ พวกเขาจะรวมกลุ่มหรือจัดตั้งกลุ่มของชนชาติยิวในอาชีพต่างๆ เพื่อดำเนินการรักษาหรือแสวงผลประโยชน์ของกลุ่ม หรือเพื่อบรรลุจุดหมายปลายทางบางอย่างของกลุ่มผ่านทางสถาบันทางการเมือง การศึกษาและทางราชการ โดยพยายามที่จะมีอิทธิพลเหนือกระบวนการตัดสินใจหรือการวางนโยบายของสถาบันนั้นๆ
ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่เพียงสองวัน หลังจากกลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลก่อนเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 นาย Kenneth Griffin มหาเศรษฐีระดับหมื่นล้านดอลลาร์ ชาวอเมริกันเชื้อสายยิวผู้จัดการกองทุนประกันความเสี่ยง Citadel ได้โทรหานาง Penny Pritzker ประธานคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เพื่อท้วงติงที่นักศึกษาหลายกลุ่มรวมตัวกันในฮาร์วาร์ดกล่าวหาว่า ระบอบอิสราเอล จะต้องรับผิดชอบทั้งหมดต่อการโจมตีครั้งนี้ ซึ่งนาง Pritzker ก็รับปากว่าจะดูแลเรื่องนี้ให้ อันเนื่องจากนาย Griffin เป็นผู้บริจาครายใหญ่ของฮาร์วาร์ด
ในรอบ 10 กว่าที่ผ่านมา นาย Griffin บริจาคเงินมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์ให้กับฮาร์วาร์ด เฉพาะปีที่แล้วปีเดียวก็ 300 ล้านดอลลาร์เข้าไปแล้ว เพื่อเป็นทุนให้คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ไปทำงานวิจัยอะไรใหม่ๆ อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และเพื่อเป็นเกียรติแก่นาย Griffin ทางคณะก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Harvard Kenneth C. Griffin Graduate School of Arts and Sciences
เช่นเดียวกับไทย มหาวิทยาลัยอเมริกันได้แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ มหาวิทยาลัยรัฐ กับเอกชน และไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนหรือควบคุมจากรัฐบาลหรือของเอกชน วิธีการปกครองมหาวิทยาลัยก็มักจะเป็นแบบเดียวกัน คือเป็นการปกครองโดยคณะกรรมการบริหารจากภายนอกมหาวิทยาลัยที่มีประธานเป็นผู้นำ เช่น นาง Penny Pritzker ของฮาร์วาร์ด และโดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่มีอธิการบดีเป็นผู้นำ เช่น นาง Claudine Gay ของฮาร์วาร์ดที่พึ่งลาออกไปเมื่อต้นปีนี้
นาง Gay โดนกดดันจากกลุ่มชนชั้นนำทางการเงินผู้บริจาคเงินทุนเป็นจำนวนมากให้กับมหาวิทยาลัย ผ่านคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะกลุ่มซีอีโอ ธนาคารยักษ์ใหญ่ในวอลสตรีท ไม่ว่าจะเป็น
นาย Jamie Dimon (JPMorgan Chase) นาย Llyod Blankfein อดีตซีอีโอ Goldman Sach นาย David Rubenstein ผู้ก่อตั้ง Carlyle Group และบางคนถึงกับประกาศว่าจะไม่รับนักศึกษาที่ชุมนุมต่อต้านชาวยิวเข้าทำงานในบริษัทของตน
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำทางการเงินกับมหาวิทยาลัยยังมีลักษณะที่เกื้อกูลกัน กล่าวคือ เงินบริจาค (endowment) ที่ไอวีลีกเหล่านี้ได้มาส่วนใหญ่แล้ว ก็จะเอาไปลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล กองทุนประกันความเสี่ยง หรือธนาคารเพื่อการลงทุนที่มีผู้บริจาคเงินทุนเหล่านี้เป็นซีอีโอ ซึ่งก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการเงินทุนของมหาวิทยาลัยเพื่อให้ออกดอกออกผลต่อไปอีก นอกจากนั้นพวกเขายังเอาเงินบริจาคที่ให้กับมหาวิทยาลัยไปลดหย่อนภาษีได้อีกเป็นจำนวนมาก
ปี 2020 ก่อนเกิดโควิด ฮาร์วาร์ดมียอดเงินบริจาคทั้งสิ้นกว่า 53,000 ล้านดอลลาร์ โดยได้รับผลตอบแทนการลงทุนจากเงินก้อนนี้ถึง 34% แต่ก็ยังทำได้น้อยกว่าไอวี่ลีกอื่น เช่น มหาวิทยาลัยเยลมียอดบริจาคประมาณ 42,000 ล้านดอลลาร์ ได้รับผลตอบแทน 40% ขณะที่ M.I.T. มีประมาณ 27,400 ล้านดอลลาร์ แต่กลับบริหารจัดการเงินทุนก้อนนี้ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยได้รับผลตอบแทนถึง 56%
ปัจจุบัน คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดประกอบด้วย กรรมการ 13 คน ที่เรียกกันว่า Harvard Corporation หรือ บรรษัทฮาร์วาร์ด มี 2 หน้าที่หลักคือ คัดสรรทีมผู้บริหารมหาวิทยาลัยและ ตัดสินใจในเรื่องที่ที่ประชุมผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่สามารถหาข้อสรุปได้ โดยคณะกรรมการฯ นี้ไม่ได้รับเงินเดือน เบี้ยประชุมหรือผลตอบแทนใดๆ
เช่นเดียวกับโครงสร้างการปกครองของไอวีลีกอื่นๆ ก็ไม่แตกต่างไปจากบรรษัทฮาร์วาร์ด คณะกรรมการฯ บรรษัทมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำเหล่านี้ มักจะประกอบไปด้วยศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในทุกแวดวง อดีตอธิการบดีที่ผ่านการบริหารมหาวิทยาลัยมาอย่างช่ำชองและข้าราชการระดับสูงหรืออดีตรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยจะเป็นบุคคลภายนอกจึงมอบอำนาจในการจัดการปัญหาเฉพาะหน้าภายในมหาวิทยาลัยและการบริหารทางวิชาการให้กับอธิการบดี ในขณะที่เรื่องการจัดหาแหล่งเงินทุน (โดยพฤตินัย) และการคัดสรรผู้บริหารก็จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารจากภายนอกมหาวิทยาลัย ระบบบริหารดังกล่าวใกล้เคียงกับการดำเนินธุรกิจสมัยใหม่ มีคณะกรรมการบริหารและผู้บริหารวิชาการมืออาชีพที่ใช้วิธีการจัดการที่พัฒนามาจากวงการธุรกิจเช่นเดียวกับบรรษัทข้ามชาติ
เพราะฉะนั้น จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไม Liz Magill ถึงต้องลาออกจากตำแหน่งอธิการบดี มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย เพียงแค่ 6 วันหลังจากที่ไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร แล้วไม่เป็นที่พอใจของกลุ่มทุนชาวยิว เมื่อ นาย Marc Rowan ซีอีโอ Apollo Global Management และเป็นประธานคณะกรรมการบริหาร โรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน (Wharton School) โรงเรียนผลิตมหาเศรษฐีระดับโลก อันมีชื่อเสียงโด่งดังของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ได้ออกมาบอกกับคณะกรรมการบริหาร บรรษัทเพนซิลเวเนีย ให้ไล่นาง Magill ออก ไม่เช่นนั้นตัวเขาและกลุ่มเครือข่ายทางการเงินของเขาจะหยุดบริจาคเงินให้กับโรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน..
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี