การเสาะหาเรือนแพ บ้านเกิดนายปรีดี พนมยงค์ เมื่อได้รับบริจาคที่ดินครบถ้วนแล้ว งานที่ต้องดำเนินการต่อไปคือการเสาะหาเรือนแพมาแทนเรือนแพบ้านเกิดหลังเดิมที่ได้ผุพังสูญสลายไปตามกาลเวลา คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมายให้คณะทำงานซึ่งประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางประวัติศาสตร์หลายท่าน ค้นหาเรือนแพที่มีอายุใกล้เคียงกับเรือนแพบ้านเกิดดังกล่าว ในพื้นที่เกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา1 แต่ก็ยากอยู่ เพราะไม่มีใครในคณะทำงานเกิดทันได้เห็นเรือนแพบ้านเกิดนายปรีดีเลย ได้แต่คาดเดาว่าเรือนแพที่ต้องการอยู่ในยุคเดียวกันกับเรือนแพบ้านเกิดเมื่อประมาณหนึ่งร้อยปีมาแล้ว
วันหนึ่งในปี 2526 ดิฉันได้ติดตามคณะทำงานนั่งเรือหางยาวลัดเลาะไปตามคลองเมืองอยุธยา ตั้งแต่เช้าจนบ่ายคล้อย ได้พบเรือนแพหลังหนึ่งจอดอยู่ริมตลิ่ง มีลักษณะเป็นบ้านไม้ทรงไทยชั้นเดียวขนาด 8.58 x 8.40 เมตร อายุและลักษณะน่าจะใกล้เคียงกับเรือนแพบ้านเกิด โดยในเวลานั้นเจ้าของใช้เป็นยุ้งเก็บข้าวเปลือก อยู่ในสภาพทรุดโทรม ภายในเต็มไปด้วยฝุ่นละออง เมื่อสอบถามเจ้าของก็สันนิษฐานได้ว่าเรือนแพนี้มีอายุประมาณร้อยปี ใกล้เคียงกับอายุเรือนแพบ้านเกิด จึงตกลงซื้อในราคา 600,000 บาท ซึ่งเมื่อ 30 ปีก่อน เงินจำนวนนี้ไม่น้อยเลย
จากนั้นเดินทางไปค้นหาเรือนแพอีกหลัง เพื่อทำเป็นหอสมุด พิพิธภัณฑ์ รวมถึงเป็นที่เจริญสมณธรรม และประชุมสัมมนา จนพบเรือนแพหลังใหญ่สวยงามอยู่ในสภาพพอใช้ได้ มีขนาด 10.05 x 11.30 เมตร จอดอยู่ริมคลองเมือง เรือนแพนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านครอบครัวใหญ่ที่มีลูกหลานหลายคน มีการเจรจาขอซื้อและตกลงกันในราคา 1,000,000 บาท2
การออกแบบอนุสรณ์สถาน
งานต่อไปคือ ดำเนินการออกแบบ และวางผังงานบนที่ดินดังกล่าว ประกอบไปด้วย
1. เรือนแพบ้านเกิด (จำลอง)
2. อนุสาวรีย์หลัก 6 ประการ
3. เรือนแพหอประชุม (พิพิธภัณฑ์)
4. สวนและสนามหญ้า
5. ห้องสุขาและเรือนคนงาน
สำหรับทุนทรัพย์ในการดำเนินการก่อสร้าง ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธาในอุดมการณ์เพื่อชาติและราษฎรไทยของนายปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ขอขอบคุณอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้
ขั้นตอนต่อมา ได้มีการชะลอเรือนแพทั้งสองหลังมาประกอบขึ้นใหม่ และปลูก ณ บริเวณที่กำหนดไว้ในผังดังกล่าว อนึ่ง เรือนแพบ้านเกิดนั้น เดิมจอดอยู่ริมตลิ่งคลองเมือง แต่เพื่อความสะดวกในการบำรุงรักษาจึงได้ยกเรือนแพจำลองหลังนี้มาปลูกไว้บนฝั่ง
การเปิดอนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์
พิธีเปิดอนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ มีขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม 2529 ซึ่งเดิมสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จะเสด็จมาเป็นองค์ประธาน แต่เกิดประชวรกะทันหัน จึงมีพระบัญชาให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถระ) มาเปิดแทน อย่างไรก็ดี ในแผ่นป้ายที่เตรียมไว้ก็ยังคงจารึกข้อความไว้ว่า
อนุสรณ์สถานแห่งนี้ ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านแดด ผ่านฝน ผ่านพายุ รวมทั้งผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาหลายครั้ง จึงชำรุดทรุดโทรมลงตามความเป็นอนิจจัง
มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ เห็นสมควรบูรณะซ่อมแซมอนุสรณ์สถานให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นศูนย์กลางในการให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินสมทบทุนโครงการดังกล่าว สรุปยอดเงินบริจาคเป็นจำนวนทั้งสิ้น 4,470,666 บาท และได้ทำการบูรณะซ่อมแซมอนุสรณ์สถานอีกครั้งในปี พ.ศ. 2543 มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย
อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดำเนินการภายใต้มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ จนถึงปี พ.ศ. 2546 คณะกรรมการมูลนิธิมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า สมควรโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นผู้ดูแลรักษา เพื่อสานต่ออุดมการณ์เพื่อชาติและราษฎรไทยของนายปรีดีอย่างมีประสิทธิภาพสืบต่อไป โดยการโอนกรรมสิทธิ์สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546
หวังว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะรังสรรค์อนุสรณ์สถานแห่งนี้ให้เป็นห้องเรียนประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตสำหรับอนุชนคนรุ่นใหม่และผู้สนใจ ได้ศึกษา ค้นคว้า และสืบทอดอุดมการณ์ของรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ตลอดไป
หมายเหตุ จากหนังสือ “ปรีดี บรรณานุสรณ์ 2562” หน้า 25,27, 29,31,33
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี