รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี จะมีโฉมหน้าอย่างไร?
ที่สำคัญ นโยบายรัฐบาลเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าสนใจติดตามอย่างมาก
เพราะเมื่อเป็นรัฐบาลผสม ก็คงจะต้องผสมผสานนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาล ว่าเรื่องไหนจะยึดนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองใดเป็นแกน แล้วปรับเปลี่ยนตรงไหน อย่างไร เพื่อให้มีความเหมาะสมในฐานะนโยบายของรัฐบาลที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนปฏิบัติต่อไป
สำหรับนโยบายเกี่ยวกับ “เด็กแรกเกิด” ซึ่งมีการหยิบยกขึ้นมาหาเสียง และถูกกล่าวถึงกันมากก่อนการเลือกตั้ง
พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคแกนนำรัฐบาลลำดับที่ 1-2 ต่างก็ชูนโยบายของตนเองแข็งขัน
นโยบายที่ควรจะถูกนำมาใช้ น่าจะออกมาในรูปใด?
1. ในช่วงรัฐบาล คสช. ได้มีการดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว คือ การให้เงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด
ริเริ่มดำเนินการในยุครัฐบาล คสช.
เริ่มจากมอบเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 400 บาทต่อเดือนระยะแรก และเพิ่มขึ้นเป็น 600 บาท
ต่อเดือน ต่อเนื่องไปจนกว่าเด็กจะอายุครบ 3 ปี โดยให้เฉพาะเด็กแรกเกิดในครอบครัวรายได้น้อย หรือมีภาระพึ่งพา
ปัจจุบัน มีเด็กได้รับการช่วยเหลือ มากกว่า 5 แสนคน
เป็นนโยบายของรัฐบาล คสช.ที่ได้รับคำชื่นชมมาก ทั้งจากองค์กรระหว่างประเทศและโพลล์ทุกสำนัก
ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวแม่ลูกอ่อนได้มาก เพราะคนเราเลือกเกิดไม่ได้ รัฐก็จะต้องช่วยคนที่เกิดมาในครอบครัวที่มีความขัดสนก่อนเป็นพื้นฐาน
2. แน่นอนว่า นโยบายช่วยเหลือเด็กแรกเกิด จะต้องถูกดำเนินการขยายต่อในยุครัฐบาลลุงตู่ 1 แน่นอน
เพราะพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ ต่างมีนโยบายเรื่องนี้
ที่สำคัญ จะแผ่ขยายจากการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัวรายได้น้อย ไปเป็นลักษณะ “หลักประกันถ้วนหน้า” คือ เป็นสิทธิที่เด็กแรกเกิดทุกคนที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ
3. น่าคิดว่า รัฐบาลลุงตู่ 1 จะยึดเอานโยบายของพรรคร่วมพรรคไหน เป็นแกนในนโยบายของรัฐบาล
3.1 นโยบาย “มารดาประชารัฐ” ของพรรคพลังประชารัฐ
เป็นนโยบายที่จะช่วยเหลือแบบถ้วนหน้า เด็กแรกเกิดทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน
ช่วยตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ ไปจนถึงอายุ 6 ขวบเลย
ล่าสุด พรรคพลังประชารัฐก็ประกาศพร้อมที่จะเดินหน้านโยบายมารดาประชารัฐด้วย
การอุดหนุนเงินช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนพัฒนาการเจริญเติบโตของเด็กให้ดีและมีคุณภาพ จะมี 3 ส่วน
ระยะแรก ระหว่างตั้งครรรภ์ รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 9 เดือน (รวมสูงสุด 27,000 บาท)
ต่อมา เมื่อคลอด ก็จะได้รับเงินค่าคลอดบุตร 10,000 บาท (จ่ายครั้งเดียว)
ระยะสุดท้าย ตั้งแต่แรกเกิด ถึงอายุ 6 ขวบ จะได้รับค่าเลี้ยงดูบุตร 2,000 บาทต่อเดือน (รวมสูงสุด 144,000 บาท)
รวมตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์และเลี้ยงบุตรจนถึงอายุ 6 ขวบ ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือจากนโยบายมารดาประชารัฐ รวม 181,000 บาท ต่อบุตร 1 คน
นอกจากเงินช่วยเหลือแล้ว ยังจะมีมาตรการดูแลด้านอื่นๆ ตามมาเพิ่มเติม เช่น ผู้ปกครองสามารถใช้สิทธิ์ลาป่วย โดยใช้ใบรับรองแพทย์ของลูกที่ป่วยได้, คุณพ่อสามารถลาไปช่วยเลี้ยงลูก ก่อนและหลังจากที่ภรรยาคลอดบุตรได้ไม่เกิน 30 วัน โดยยังได้รับค่าจ้าง, จัดหาสถานที่รับเลี้ยงเด็กในที่ทำงาน หรือในชุมชมที่ได้มาตรฐาน, พัฒนาศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ, ดูแลปัญหาขาดสารอาหารในเด็ก ฯลฯ
3.2 นโยบาย “เกิดปั๊บ รับสิทธิเงินแสน” ของพรรคประชาธิปัตย์
นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ “เกิดปั๊บ รับสิทธิเงินแสน เบี้ยเด็กเข้มแข็ง 0-8 ปี 1,000 บาทต่อเดือนแบบถ้วนหน้า เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงของเด็กตั้งแต่แรกเกิด”
เป็นนโยบายอันแรกที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศในสนามเลือกตั้งครั้งนี้เลยด้วย
เป็นนโยบายช่วยเหลือถ้วนหน้า ให้สิทธิเด็กทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน
โดยจะให้เงินช่วยเหลือคุณแม่เมื่อแรกคลอดทันที 5,000 บาท
จากนั้น “เบี้ยเด็กเข้มแข็ง” จะให้เงินช่วยเหลือเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 8 ขวบ
คนละ 1,000 บาทต่อเดือน (ต่อเนื่อง 8 ปี)
ซึ่งคิดรวมแล้วจะได้เงินประมาณ 1 แสนบาทต่อคน
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการยกระดับคุณภาพเด็กไทย อีกหลายเรื่อง เช่น ศูนย์เด็กเล็กคุณภาพดีทั่วไทย, อาหารเช้า-กลางวันฟรี มีคุณภาพ ระดับชั้นอนุบาล ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 3, เด็กทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ (ด้วย English for All), ปรับหลักสูตรเพื่อโลกอนาคต ตั้งแต่ระดับชั้นประถมที่เน้นการคิดวิเคราะห์มากกว่าการท่องจำ, เรียนฟรีถึงปวส. จบแล้วมีงานทำ สนับสนุนเรียนฟรี ปวช. และ ปวส. ในอาชีวศึกษาภาครัฐและเอกชน ทั้งสายช่างและสายพาณิชย์, การศึกษาตลอดชีวิต คูปองเพิ่มทักษะสำหรับผู้ใหญ่, คืนครูให้นักเรียน ลดภาระงานของครูที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน, จัดตั้งกองทุน Smart Education เพื่อสนับสนุน Social Enterprise และ Startup ทางด้านการศึกษา, กระจายอำนาจจากกระทรวงสู่โรงเรียน ฯลฯ
พรรคประชาธิปัตย์ได้คำนวณวงเงินงบประมาณไว้แล้วด้วยว่าจะใช้เงินจำนวนเท่าใด นำเสนอต่อ กกต.เรียบร้อย
4. เป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ ที่จะตัดสินใจเชิงนโยบายว่าจะขับเคลื่อนนโยบายช่วยเหลือเด็กแรกเกิดในยุครัฐบาลลุงตู่ 1 อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม โผครม.ล่าสุด ปรากฏว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ชื่อ “จุติ ไกรฤกษ์” แสดงว่าอยู่ในความดูแลของพรรคประชาธิปัตย์
เป็นไปได้ว่า นโยบายเกิดปั๊บรับสิทธิเงินแสน อาจจะถูกใช้เป็นแกนในการขับเคลื่อนนโยบายเด็กแรกเกิด
5. ไม่ว่าใครจะดูแลกระทรวงนี้ ขอให้แรงหนุนนโยบายช่วยเหลือเด็กแรกเกิด ไม่ว่าจะเป็น “มารดาประชารัฐ” หรือ “เกิดปั๊บรับสิทธิเงินแสน” ขอสนับสนุนทั้งสองแนวทางที่ไปในทิศเดียวกัน
ในเมื่อร่วมรัฐบาลเดียวกันแล้ว ผลงานที่ออกมาก็คือผลงานของรัฐบาล เกิดประโยชน์ตกแก่ประชาชนเหมือนกัน
นอกจากประโยชน์ทางสังคมต่อครอบครัวเด็กแรกเกิดแล้ว ยังมองว่า นโยบายนี้จะเกิดประโยชน์ในทางเศรษฐกิจด้วย จากการลดภาระของครอบครัวเด็ก แม้จะไม่เพียงพอค่าเลี้ยงดูเด็กทั้งหมด แต่เมื่อเติมกำลังซื้อเข้าไป ทำให้ครัวเรือนได้เงินเพิ่มมาอีกเป็นรายเดือน เป็นเงินโอนจากรัฐบาล ให้นำมาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะถูกจ่ายออกไปโดยเร็ว เป็นผลดีต่อการบริโภคส่วนอื่นๆ ของครอบครัว จะกลายเป็นช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะในครอบครัวที่รายได้น้อย อัตราหมุนของเงินก็จะรวดเร็ว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี