หลังจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ถึงแก่อสัญกรรม ก็ได้มีการกล่าวขานถึงผลงานของรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มากมาย และอีกผลงานหนึ่งที่คนไทยอย่างน้อย 3 ล้านกว่า ได้รับผลประโยชน์มาจนถึงทุกวันนี้และตลอดไป นั่นคือในปีสุดท้ายของรัฐบาล
โดยก่อนที่พลเอกเปรมจะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2530 ได้มีประกาศราชกิจจานุเบกษา ให้มีพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 โดยในหลักการเพื่อแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตให้ลูกจ้างของภาคเอกชนและพนักงานรัฐวิสาหกิจได้มีเงินใช้จ่ายหลังเกษียณอายุหรือหลังจากลาออกจากงาน กฎหมายฉบับนี้เน้นความสมัครใจของลูกจ้างและนายจ้างทั้งที่เป็นบริษัทเอกชน และรัฐวิสาหกิจต่างๆ โดยลูกจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพตั้งแต่ 2% ขึ้นไป ถึงแต่ไม่เกิน 15% ของเงินเดือน ซึ่งเป็นการรณรงค์ให้ลูกจ้างรู้จักการออมเงินอย่างมีระบบมีวินัย และกฎหมายก็บังคับให้นายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนตั้งแต่ 2% ถึง ไม่เกิน 15% เงินดังกล่าวก็ถูกส่งเข้าไปอยู่ในกองทุน กสช.ของแต่ละหน่วยงานแต่ละบริษัท แต่ละรัฐวิสาหกิจ
ตั้งแต่ประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ปัจจุบันเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่างๆ มีเงินมากถึง 1,167,767 ล้านล้านบาท ซึ่งเงินทั้งหมดหมุนเวียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีนายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งกองทุน กสช. แล้วมากถึง 20,086 แห่ง มีสมาชิก 3 ล้านกว่าคน ซึ่งเงินก้อนดังกล่าวได้มีส่วนในการนำไปพัฒนาประเทศในรูปแบบต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าในการลงทุนผ่านธุรกิจต่างๆ มายาวนานถึง 32 ปี ผ่านทางตลาดหลักทรัพย์ทั้งตลาดตราสารหนี้และตลาดตราสารทุน สร้างผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ทั้งธุรกิจที่ต้องการระดมทุนเพื่อนำไปลงทุนพัฒนาธุรกิจก็ได้รับประโยชน์สร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างมากมาย รวมทั้งเงินบางส่วนยังถูกนำไปลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทนจากกองทุนต่างๆ ในต่างประเทศอีกด้วย สมาชิกเจ้าของเงินก็ได้รับผลประโยชน์จากเม็ดเงินจากการลงทุน เรียกได้ว่าบางปีได้รับผลประโยชน์ตอบแทนมากกว่า 20% ต่อปี
โดยในยุค 20 ปีแรกของการก่อตั้งกองทุน สมาชิกได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยมากกว่า 10%-15% แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกรูปแบบการลงทุน นั่นคือสัดส่วนการเลือกลงทุนผสมกันระหว่างตราสารหนี้ และตราสารทุน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ ด้วย ซึ่งแต่ละกองทุนที่จัดตั้งขึ้นกฎหมายได้ให้โอกาสทั้งนายจ้างและลูกจ้างเข้ามาเป็นกรรมการบริหารกองทุน กสช.ในแต่ละแห่ง ออกแบบกำหนดเป็นข้อบังคับของกองทุนแต่ละแห่งได้โดยอิสระ เรียกว่าให้โอกาสเข้าไปร่วมบริหารเงินของตัวเองได้อย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้เพื่อความรอบคอบและเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย กองทุนนี้ จะมีเลขาธิการก.ล.ต. เป็นนายทะเบียนตามกฎหมาย ผลประโยชน์ตอบแทนที่เกิดจากการบริหารเงินในกองทุนการบริหารเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งหมด กฎหมายยังได้ให้โอกาสสถาบันการเงิน ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆ บริหารเงินอย่างมืออาชีพ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้งบริษัทจัดการกองทุนขึ้นจำนวนมากจนเติบโตเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมการเงิน
ข้อมูลทั้งหมดนี้ผมได้มาจาก ดร.สุเมต สุวรรณพรหม กรรมการที่ปรึกษาสมาคมสำรองเลี้ยงชีพแห่งประเทศไทย และเป็นกรรมการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทั้งกล่าวขอขอบคุณวิสัยทัศน์ของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และนายสมหมาย ฮุนตระกูล, นายสุธี สิงห์เสน่ห์ 2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในสมัยนั้นที่ออกกฎหมายจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้สำเร็จ เรื่องดังกล่าวเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกจ้างภาคเอกชน และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เกษียณอายุเป็นอย่างมาก ซึ่งแนวคิดนี้กลุ่มประเทศในสแกนดิเนเวีย (เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์) และประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพชีวิตกับเรื่องลูกจ้างเมื่อเกษียณอายุเป็นอย่างมาก
ที่สิงคโปร์เขาจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเรียกว่ากองทุน CPF ซึ่งรัฐบาลได้ออกกฎหมายบังคับให้ลูกจ้างทุกคนจ่ายเงินเข้ากองทุนมากถึง 20% ของเงินเดือนทำให้หลังเกษียณอายุการทำงานชาวสิงคโปร์จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีมาก เงินกองทุน CPF จะมอบให้บริษัทเทมาเส็ก ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐบาลนำเงินไปลงทุนทั่วโลกรวมทั้งนำเงินมาลงทุนในประเทศไทยอย่างมากมายด้วยเช่นกัน ทำให้สมาชิกกองทุนสิงคโปร์ มีเงินผลตอบแทนมากอย่างต่อเนื่องโดยรัฐบาลเขาได้รับประกันผลตอบแทนให้สมาชิกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 ในขณะที่ผลตอบแทนของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในประเทศไทย ไม่ค่อยจะได้รับการดูแลจากภาครัฐบาลเท่าที่ควร ในขณะที่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มีความผันผวน หลายปีที่มีผลการตอบแทนติดลบ และหลายปีที่มีผลตอบแทนต่ำมาก
อย่างไรในเรื่องนี้นายพิสิฐ ลี้อาธรรม รมช.คลัง ปัจจุบันเป็นนายกสมาคมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแห่งประเทศไทย เคยกล่าวว่า การจัดตั้งกองทุน กสช.ที่เกิดขึ้นมาในรัฐบาลพลเอกเปรม ตั้งแต่ปี 2530 ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่ดีมากๆ แต่ก็เกิดประโยชน์โดยตรงกับสมาชิกเพียง 3 ล้านกว่าคนเท่านั้นเอง ยังมีลูกจ้าง อีกไม่น้อยกว่า 11.5 ล้านคนทั่วประเทศ ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกของกองทุน เพราะกฎหมายที่ออกมาเมื่อ 32 ปีที่ผ่านมาเป็นการจัดตั้งกองทุนภาคสมัครใจ ไม่ได้บังคับให้นายจ้าง จัดตั้งกองทุนดังกล่าว ทั้งที่ปัจจุบัน ข้อมูลจาการจดทะเบียนบริษัทของกระทรวงพาณิชย์ มีมากถึง 734,983 แห่ง แต่กลับจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพียง 20,086 แห่งเท่านัั้้นเอง ที่ได้รับเงิน
ครับนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่รมว.คลัง ว่าที่ รมว.แรงงาน ควรสานต่อประเด็นนี้ เพื่อให้ลูกจ้างทั้งหลายทั้งปวงได้มีโอกาสเข้าถึงกองทุนป๋าเปรม ที่จัดตั้งไว้
เตรียมเขียนไว้ในนโยบายของรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภาได้เลยครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี