การประชุม G20 หรือการประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหญ่ของโลกครั้งใหม่นี้จะมีขึ้นที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ในปลายเดือนมิถุนายนนี้
ซึ่งปกติการประชุม G20 นี้จะเป็นที่จับตามองของประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพราะย่อมส่งผลต่อสถานการณ์ต่างๆ ของโลก ซึ่งประชาชาติทั้งหลายก็พลอยฟ้าพลอยฝนได้รับผลกระทบตามไปด้วย
การประชุม G20 ในปัจจุบันนี้มีประเทศที่เป็นขั้วอำนาจของโลกเข้าร่วมประชุมด้วย โดยเฉพาะคือสหรัฐ และรัสเซีย รวมทั้งจีน
แต่ทว่าในการประชุม G20 ที่เมืองโอซาก้าครั้งนี้ แทนที่จะเป็นการนัดหมายประชุมหรือเตรียมการประชุมไปตามปกติดังเช่นที่มีมาทุกครั้ง กลับเกิดเหตุพิกลพิการเกิดขึ้น นั่นคือการข่มขู่ประเทศที่จะเข้าร่วมการประชุม จนเป็นที่จับตามองของชาวโลกและแน่นอนว่าเป็นเรื่องทีประเทศไทยและคนไทยก็ต้องสนใจติดตามเช่นเดียวกัน
การประชุม G20 ในครั้งนี้เกิดขึ้นในท่ามกลางสงครามการค้าที่ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง หาใช่เพียงสงครามการค้าเฉพาะสหรัฐกับจีนเท่านั้นไม่เพราะสหรัฐได้ประกาศและขยายผลของสงครามการค้าไปอย่างกว้างขวาง เปิดสงครามการค้าทั้งกับจีน รัสเซีย อินเดีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ และอีกหลายประเทศ แม้กระทั่งมิตรประเทศของสหรัฐเอง
ดังนั้น ปัญหาเรื่องสงครามการค้าจึงเป็นวาระและเป็นเรื่องสำคัญที่จะมีการพูดจากันในที่ประชุม G20 ครั้งนี้ด้วย
เรื่องที่เป็นที่สนใจจับตามองของชาวโลกก็คือคำขู่ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ว่า ถ้าประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ไม่มาร่วมประชุมและเจรจาในเรื่องการค้ากันในการประชุมครั้งนี้ ก็จะให้มาตรการขึ้นภาษีอากรที่นำเข้าจากจีนมีผลบังคับใช้ในทันที ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ตั้งท่าขยับขยายในอาการถอยเชิงรุกบ้าง ในอาการล่าถอยบ้าง และในท่ามกลางที่มีเสียงคัดค้านจากภาคธุรกิจและภาคสังคมของสหรัฐเองอย่างกว้างขวาง
คำขู่ที่ปรากฏต่อชาวโลกของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีต่อประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ของจีนในครั้งนี้จึงต้องถือว่าเป็นการแสดงท่าทีแบบนักเลงโตและไม่ให้เกียรติกันเลย เพราะท่าทีแบบนี้ทำให้คนจำนวนหนึ่งคิดว่าถ้าหากประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ยอมทำตามคำขู่ก็จะสูญเสียภาวะความเป็นผู้นำทั้งต่อประชาชาติจีนและต่อชาวโลกด้วย
ดังนั้นแม้จะเป็นคำขู่สั้นๆ แต่จะมีความหมายในทางการเมืองและสถานการณ์ต่างๆ ของโลกด้วย
เพราะก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ก็ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าจีนนั้นประดุจดังทะเลใหญ่ ไม่กลัวคลื่น ไม่กลัวลม ได้ผ่านประสบการณ์ในการโต้คลื่นฝืนลมมาแล้วนับพันปี และพร้อมที่จะโต้คลื่นฝืนลมไปอีกนับพันๆ ปีด้วย
จากนั้นก็แสดงสุนทรพจน์สำคัญอีกครั้งหนึ่งว่า จีนพร้อมที่จะทำสงครามยืดเยื้อทางการค้า ซึ่งเป็นการแสดงสุนทรพจน์โดยนำเอายุทธศาสตร์สงครามยืดเยื้อและยุทธศาสตร์สงครามจรยุทธ์ในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นมาใช้อย่างองอาจ
ถัดจากนั้นก็ได้แสดงสุนทรพจน์ครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในระหว่างการเดินทางเยือนมณฑลเจียงซี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทัพทางไกลของกองทัพแดงอันลือโลก โดยได้กล่าวว่าประเทศจีนพร้อมเดินทัพทางไกลในการทำสงครามการค้าจนถึงที่สุด ซึ่งเป็นการปลุกเร้าประชาชาติจีนทั้งในประเทศและทั่วโลกให้เข้าสู่สงครามการค้ากับสหรัฐ
นัยจากท่าทีทั้งสามครั้งนี้ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จึงชัดเจนและหนักแน่นว่าจีนจะไม่มีวันยอมแพ้ในการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ ซึ่งนั่นเป็นการคำนึงถึงผลสุดท้ายของสงครามการค้าในครั้งนี้
แต่ในท่ามกลางวิถีดำเนินแห่งสงครามการค้านั้นก็จะต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ต่างๆ อย่างแหลมคม และการเผชิญกับคำขู่ของประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งนี้ก็จะเป็นการเผชิญหน้าครั้งสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อทั้งฐานะการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ด้วย โดยมีเป้าหมายสุดท้ายก็คือชัยชนะในสงครามการค้า
มีความคิดเห็นไม่น้อยที่คาดหมายว่าประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง จะไม่ไปร่วมประชุมในครั้งนี้ แต่อาจส่งผู้แทนไปเข้าร่วม หรือไปเข้าร่วมประชุมแต่จะไม่เจรจาทวิภาคีกับประธานาธิบดีทรัมป์ หรือไปประชุมแต่ยืนยันการเจรจาบนหลักการและผลประโยชน์ของประเทศจีนตามยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ได้ประกาศไว้นั้น
ดังนั้น การไปประชุมหรือไม่ไปประชุมของประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง จึงไม่ใช่สัญญาณการยอมจำนนหรือการพ่ายแพ้ดังที่คนทั่วไปคาดคิด เพราะสงครามการค้านั้นเป็นการใหญ่ เป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจคาดหมายด้วยวิธีคิดตามอารมณ์หรือตามกระแสได้ แต่ต้องเป็นไปภายใต้เป้าหมายอันกำหนดแน่นอนแล้ว เป็นไปตามยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ และยุทธวิธี ซึ่งย่อมต้องมีการกำหนดแน่นอนแล้ว ทั้งในส่วนแบบแผนและในส่วนพลิกแพลงอันเป็นหลักคิดที่ทางจีนเรียกว่า “ความคิดเหมา เจ๋อ ตุง”
หากจะต้องพิจารณาผลของคำขู่ของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าจะเกิดผลตามที่ขู่หรือไม่ และทางฝ่ายจีนจะมีปฏิบัติการอย่างไรต่อคำขู่นั้น
เพราะการไปเข้าร่วมประชุมหรือไม่เข้าร่วมประชุม หรือมีตัวแทนไปเข้าร่วมประชุม หรือประชุมแล้วยืนหยัดและมีปฏิบัติการเชิงรุกจากการประชุมนั้น รวมทั้งการคาดหมายถึงผลที่เกิดขึ้นในบั้นปลายต่างหากที่จะเป็นสิ่งบอกผลของการเผชิญหน้าระหว่างสองผู้นำโลกในครั้งนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี