ทำท่าว่าจะลุกลามบานปลาย ถกเถียงกันหน้าดำคร่ำเครียด และเรื่องอาจจะไม่จบแค่นี้ อาจจะลุกลามบานปลายไปถกเถียงกันต่อในสภา กับเรื่อง “พานไหว้ครู” ล้อการเมือง!!
ใครคือคน “อ่อนไหว” ในเรื่องนี้
- ตำรวจ
- ทหาร
- ฝ่ายการเมือง
- สื่อ
หรือ ประชาชนกองเชียร์?
เรื่องนี้มีประเด็นให้ขบคิด แกะรอย และถกเถียงกันแค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้นครับ
1.ข้อมูลปฐมภูมิที่สับสน
2.ผู้รับสารที่สุขุม
3.การปฏิบัติที่พอเหมาะพอดี
4.คำถามเรื่องจารีตประเพณี
5.การใช้ประโยชน์ทางการเมือง
มาวิเคราะห์กันทีละปมเลยครับ
1) ข้อมูลปฐมภูมิที่ขาดจริยธรรม
ว่ากันว่า ข่าวนี้ถูกนำมารายงาน จนกลายเป็น “ข่าวทางการ”เพราะเว็บไซต์ข่าวของสำนักข่าวใหญ่แห่งหนึ่ง ด้วยการพาดหัวที่ระบุว่ามี “ตำรวจ” และ “ทหาร” เป็น “ชุดบุกโรงเรียน” เพื่อ “กำราบพานไหว้ครูขัดหูขัดตา” โดยที่ในเนื้อข่าวไม่มี “ทหาร” อยู่เลยสักนิด แต่พาดหัวให้หวือหวาไว้ก่อน แถมใส่เหตุผลในการ “บุก” ว่าเพื่อ “กำราบ” พานไหว้ครูที่ “ขัดหูขัดตา” อีกต่างหาก (ภายหลังได้มาแก้ไข ตัดคำว่าทหารออกไปจากพาดหัวข่าว)
การพาดหัวข่าวไม่ซื่อ หวือหวา แต่งเติม เร้าอารมณ์ คือปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบันนี้ สื่อหิวกระหาย “เรตติ้ง” มากกว่าแน่วแน่ในการรักษาจรรยาบรรณ เพื่อ “ประคองสติ” ให้แก่คนอ่าน และ “ซื่อตรงต่อข้อเท็จจริง” ซึ่งในข่าวนี้ เมื่อแรกรายงาน ยังไม่ได้สัมภาษณ์ผู้ใดเลย แต่สื่อพาดหัวได้อย่างไรว่า เป็นการบุกไป “กำราบพานไหว้ครูขัดหูขัดตา” การใส่ความคิดเห็นและความรู้สึกลงใน “พาดหัวข่าว” เป็นเรื่องที่ทำกันอย่างเมามันได้แล้วในทุกวันนี้ โดยไม่คิดถึงผลกระทบทางสังคมที่จะตามมา เป็น “ความถดถอย” ของจริยธรรมสื่อที่ต้องเร่ง “สังคายนา” และเอาเข้าจริง กรณีนี้ เป็นการ “นำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์” ด้วยซ้ำไป ในกรณีระบุในพาดหัวข่าวว่า ตำรวจ ทหาร ทั้งๆ ที่ไม่มีทหารร่วมด้วย
2) ผู้รับสารในสังคม “ไฟลามทุ่ง”
เมื่อเจอกับการรายงานที่ขาดจรรยาบรรณ มุ่งเร้าความรู้สึก ก็โชคดีว่า เรามี “ผู้รับสาร” ที่ก็เมามัน และ “ออกอาการ” ไวไม่แพ้กัน เรียกว่าสารกระตุ้นจากถ้อยคำในพาดหัวข่าว ทำให้คน “เกิดอารมณ์” ขึ้นฉับพลันทันใด และสมัยนี้ คนมักเข้าใจว่า “การต่อว่าด่าทอ” คือการ “แสดงความคิดเห็น”
สื่อสังคมออนไลน์ที่อยู่ในมือใครก็ได้ ล้วนเป็นสถานีกระจายความวู่วาม ความโกรธ ความถ่อย ได้ง่ายมากๆ พอได้เชื้อไฟจากสื่อต้นทางที่ไร้จรรยาบรรณ คนก็แชร์กันพร้อมผนวก “คำด่า” เข้าไป จากเรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ และเรื่องจริง ขึ้นมาในบัดดล โดยไม่ต้องไต่สวนทวนความหรือรอความคืบหน้าของข่าว
สังคมที่แข่งกัน “ไว” แข่งกัน “ถ่อย” แข่งกัน “เอ็กซ์คลูสีฟ” แข่งกันเป็น “บุคคลสำคัญ” ในโซเชียลมีเดียส์ แถมแตกแยกเป็นขั้วข้างทางการเมือง เราหยุดเรื่องที่ “เป็นโทษ” แก่อีกฝ่ายที่จะ “กดแชร์” และ “พิมพ์ด่า” จากอีกฝ่ายได้ยากยิ่ง ไม่ต้องรอข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ไฟโทสะก็ไหม้ไปทั่วโซเชียลมีเดียเป็นที่เรียบร้อยแล้วในชั่วพริบตา
3) การปฏิบัติที่พอเหมาะพอดี
แค่ “พานไหว้ครูล้อการเมือง” ทำไมจึงเป็นเรื่อง “อ่อนไหว” กันนัก ในระดับผู้ปฏิบัติ คงอ่อนไหวเพราะเกรงจะไปกระทบ “นาย” ในระดับสังคม อ่อนไหวเพราะไปกระทบกับ “ฝ่ายที่รัก” หรือไม่ก็ “ฝ่ายที่ชัง” จึงกระโจนเข้าสู่วงไพบูลย์ในเรื่องนี้ จนกลายเป็นข่าวระดับต้นๆ ของวัน และดึงเอาคนสำคัญระดับประเทศมาร่วมตอบ ร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ แล้วก็มีเรื่องงอก ให้วิจารณ์การแสดงความคิดเห็นของคนเหล่านั้นตามมา
เช่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บอก-ไม่เชื่อว่าเด็กจะคิดเอง, ธนาธร บอก-นี่เป็นการคุกคามเสรีภาพอย่างร้ายแรง, วัน บอก-หนูแค่ ม.6 ลุงเขา ม.44 จะทำไงได้ ก็ต้องโทษ กปปส. โทษพรรคประชาธิปัตย์ ที่กวักมือเรียกเขาออกมาปฏิรูป 5 ปีเป็นไงล่ะ รออีกหน่อน เดี๋ยว ม.44 ก็หมดแล้ว อะไรทำนองนี้
คนเหล่านี้ล้วนแสดงความคิดเห็นในเวลาที่ข้อเท็จจริงยังไม่กระจ่าง แต่ไม่มีสักคนที่จะหยุดเพื่อถามว่า “แล้วข้อเท็จจริงมันเป็นยังไงกันแน่ ผมยังไม่ทราบข้อเท็จจริง เลยขอไม่ออกความเห็น” ไม่มีครับ ผีเจาะปากมาล้วนๆ
เรื่องนี้จะไม่เป็นเรื่อง ถ้าไม่มีคนทำให้เป็นเรื่อง ไล่มาตั้งแต่ ถ้ามันอยู่เฉพาะในโรงเรียน มันก็จบที่โรงเรียน แต่มีคนนำมาเผยแพร่ (ซึ่งไม่ผิดอะไรที่เผยแพร่) กลายเป็นเรื่องวิจารณ์ในวงแคบก่อน แล้วลามต่อเมื่อตำรวจเข้าไปตรวจสอบ และขอความร่วมมือให้ลบภาพที่เผยแพร่
นายพิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย เปิดเผยว่า ทางโรงเรียนได้จัดพิธีไหว้ครู โดยการจัดงานครั้งนี้มีการจัดการแข่งขันพานไหว้ครู ประเภทความคิดสร้างสรรค์ แต่มีเด็กนักเรียนชั้น ม.6/2 ซึ่งเป็นห้องเรียนดีของโรงเรียน ได้ทำพานไหว้ครูที่มีลักษณะคล้ายตาชั่ง โดยข้างที่มีน้ำหนักมาก มีการเขียนว่า “250 เสียง” ส่วนข้างที่มีน้ำหนักน้อยเขียนว่า “หลายล้านเสียง”
“มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางเข้ามาในโรงเรียน โดยเข้าไปพบนักเรียนชั้น ม.6/2 ที่ทำพานไหว้ครู และเข้าพบครูวิชาสังคม ซึ่งเป็นที่ปรึกษา พร้อมขอความร่วมมือให้ลบภาพพานไหว้ครูออกจากโซเชียลทั้งหมด และเด็กๆ ก็ลบออกจากโซเชียลของตัวเองหมดแล้วครับ”
“ครูที่ปรึกษาท่านนี้ เธอเป็นครูที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ผมมองว่า เธอไม่ได้ฝักใฝ่การเมืองใดๆ หรอกครับ แค่เปิดโอกาสให้เด็กได้มีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งพานที่เป็นปัญหานี้ ก็มีไอเดียมาจากนักเรียนครับ และผมก็เรียกเด็กนักเรียนมาอบรมแล้วว่า หนูๆ ยังเป็นเด็กอยู่ ยังไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง” นายพิพัฒน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย กล่าว
ขณะที่ เด็กนักเรียนชั้น ม.6/2 ที่ทำพานไหว้ครู จำนวน 5 คน ได้เปิดเผยว่า “พานที่มีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พวกผมไม่ได้ลบหลู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนะครับ เจตนาหลักๆ ของพวกผมก็คือ รักและเคารพนับถืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยครับ และอยากให้ทุกคนยึดมั่นในประชาธิปไตย ส่วนพานที่มีลักษณะคล้ายตาชั่ง เป็นการสื่อถึงเสียงของประชาชนที่มีความเท่าเทียมกับเสียงของ สว.ที่เข้ามาทำงานในสภา และมีสิทธิ์เลือกนายกรัฐมนตรี”
เห็นไหมครับ จากการขอความร่วมมือให้ลบ ไปจนถึงการลบ กลายเป็น “หนูๆ ยังเป็นเด็กอยู่ ยังไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง” ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่ออีกย้ำว่า ถ้าเรื่องนี้จบในทีละเปลาะ ก็ไม่ยุ่งยากบานปลายเช่นนี้ จุดที่ทำให้ “เป็นเรื่อง” ที่สุดก็คือ ตำรวจ ไปขอให้เขาลบทำไม มันเป็นปัญหาอะไรหรือ?
4) คำถามเรื่องจารีตประเพณี
วิจารณ์กันทั่วโซเชียล ว่า พานไหว้ครู ทำไมไม่ทำให้สวยงามเพื่อแสดงความเคารพ เช่นความเห็นหนึ่ง ขอสงวนชื่อผู้แสดงความเห็นนี้นะครับ แต่เป็นความเห็นที่ดีมาก คือ “ไม่ใช่ไดโนเสาร์นะคะ แต่มีความคิดว่าพิธีไหว้ครูเขาจัดเพื่อเป็นประเพณีเป็นวัฒนธรรมสืบทอดมาแต่เก่าก่อน เพื่อเป็นการแสดงความเคารพฝากเนื้อฝากตัวเพื่อให้ครูบาอาจารย์เมตตาอบรมสั่งสอนให้เด็กๆ เติบใหญ่ เป็นผู้มีสติและปัญญากว้างไกล อดทนอดกลั้น เป็นคนดี รู้จักกาลเทศะ อ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ที่เรียกว่าแหล่งความรู้ แหล่งแห่งปัญญา แม้ว่าเราจะมีเสรีภาพทางความคิดได้ แต่การแสดงออกในเวลานี้ ที่เป็นพิธีกรรมที่สืบทอดมา ต้องถือว่าผิดกาลเทศะ และผิดวัตถุประสงค์อย่างยิ่ง ถ้าสถานศึกษาไม่แนะนำให้เด็กๆ รู้ว่า ควรแสดงออกทางความคิดในสถานที่หรือเวลาใด ถือว่าเป็นความต่ำตมและสิ้นปัญญาของคณะครูในสถานที่เรียนรู้นั้นๆ เพราะแค่คำว่ากาลเทศะคุณยังสอนให้เด็กเข้าใจไม่ได้น่าเศร้าใจยิ่งนัก”
คนคิดอย่างนี้เยอะครับ จนลืมไปว่า ในส่วนของจารีตประเพณีและกาลเทศะนั้นยังอยู่ครบครับ คือ เด็กทุกคนยังมีช่อดอกไม้ไหว้ครู ไหว้กันอยู่ทุกคน ส่วนพานเป็นตัวแทนห้องเรียน และโรงเรียนได้ “เปิดพื้นที่” ให้มีการประกวดพานไหว้ครู ซึ่งมีทั้งประเภทสวยงามและ “สร้างสรรค์” ดังนั้น เมื่อเปิดพื้นที่ให้เด็ก “สร้างสรรค์” แล้ว อย่าไปต่อว่าว่า “ต่ำตม” หรืออะไรเลยครับ จง “เปิดใจกว้าง” และเรียนรู้ความสร้างสรรค์นั้น ว่ามีอะไรมากไป มีอะไรน้อยไป แล้วในฐานะผู้ใหญ่ก็มาช่วยกัน “กล่อมเกลา” แทนการตำหริหรือถึงขั้น “จิกด่า” อย่างที่ทำกันอยู่อย่างมากในตอนนี้ ซึ่งจะเป็นการ “ผลักไส” ให้เด็กไปอยู่ใน “กลุ่มเฉพาะ” ของเขามากยิ่งขึ้น และทำให้เด็กพบความจริงว่า ผู้ใหญ่ของเขา “คับแคบและหยาบคาย” เกินกว่าจะเคารพและศรัทธาได้ หยุดเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารังเกียจเช่นนั้นกันดีกว่า
5) การใช้ประโยชน์ทางการเมือง
หยุดคิดว่า การเมืองเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยวได้แล้วครับ บ้านเมืองเป็นเรื่องของคนทุกรุ่น ในอันที่จะร่วมมือกันสร้างสรรค์การดำรงอยู่ร่วมกันให้ “ดีพอ” ต่อความต้องการที่แตกต่างหลากหลายนั้น นั่นรวมไปถึงเด็กที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้าด้วย จงหา “จุดร่วม” และเรียนรู้ไปด้วยกันดีกว่า “กีดกัน”คนอื่น ออกจากพื้นที่สำคัญนี้
นั่งดูปรากฏการณ์พานไหว้ครู แล้วจง “เพ่งดู” เถิดว่า การเมืองมันลงไปถึงกลุ่มเด็กและเยาวชนแล้ว โดยเฉพาะการเมืองในยุคที่ทั้ง “แตกแยก” และ “ห้ำหั่น” กันอย่างรุนแรงนี้ เด็กคือ “เป้าหมายที่ถูกช่วงชิง” ใครยัดชุดความคิดใดใส่ลงในหัวเด็กได้มากกว่ากัน คนนั้นชนะ เพราะนับวัน เด็กจะโตขึ้นและเข้าถึงสิทธิในการเลือกตั้ง เขาคงไม่เลือกคนที่เคย “ผลักไส” เขาออกจากพื้นที่ทางการเมืองและการแสดงออกของเขาแน่
แล้วดูสิครับ ชุดความคิดที่ปรากฏในพานไหว้ครูหลายๆ แห่ง เป็นชุดความคิดที่เกิดจาก “วาทกรรมสำเร็จรูป” ที่บางกลุ่ม “สื่อสาร” อยู่ตลอดเวลา เช่น ประชาธิปไตยที่ถูกกองทัพยึดไป / สว. แต่งตั้งเป็นใหญ่ กว่า สส. ที่มาจากการเลือกของประชาชน / ตู่ 500 / บัตรเขย่ง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ที่ทำกันอยู่ ที่ไม่เคยแคร์ว่ามัน “ยุติธรรมไหม” หรือมัน “สง่างามไหม” มันอยู่ในความครุ่นคิดของเด็กๆ เขา ซึ่งเราควรเอามาเป็น “กระจกส่องมองบ้านมองเมือง” ว่าผู้ใหญ่อย่างพวกเรา “ทำอะไรกันอยู่” เด็กเขากำลังบอกเรา แล้วเรายังทำหูหนวกตาบอด ด่าเด็กกลับไปกันอีกอย่างนั้นหรือ
พานไหว้ครูที่เป็นข่าวเหล่านี้ ไม่ได้เป็นผลดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลที่ทำกันมา จนจะทำกันต่อไปนี้แน่ๆ แทนการควบคุม ปิดกั้น จะนำประเด็นจากพานไปสู่การสร้างสรรค์การเมืองเชิงบวกอย่างไร คือ“การบ้าน” ที่ต้องคิดต้องลงมือกันต่อไป
ในขณะที่อีกฝ่ายเล่นบท เปิดกว้าง เห็นใจ เข้าใจ ให้กำลังใจ และส่งเสริมการแสดงออก (ที่เป็นคุณต่อพวกเขา) เหล่านี้ และจะลากเรื่องเหล่านี้ยาวไปเพื่อ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” เพื่อสร้าง “ฐานเสียงเพิ่ม”แน่ๆ ฝ่ายอื่นจะสร้างดุลยภาพให้เกิดขึ้นอย่างไรจากรากฏการณ์ นี้
สิ่งหนึ่งที่ “ระบบการศึกษาไทย” ต้องคิดจากเรื่องนี้คือ ทำไมคำว่า “สร้างสรรค์” ในการทำพาน จึงเทมาที่เรื่อง “การเมือง” หมด เมื่อเปิดโอกาสให้ทำพานสร้างสรรค์ ทำไมมีเรื่องการศึกษา สิ่งแวดล้อม ปรัชญา-ธรรมะเทคโนโลยี โลกในความฝัน วิทยาศาสตร์ ละครสอนใจ
เช่น กรงกรรม ฯลฯ ทำไมมันจึงเทมาที่หมวดการเมือง
เพราะเราไม่ได้สอนเรื่องการสร้างสรรค์มากพอใช่ไหม เราอยู่กับสังคม “เสียดสี” มากกว่า “สร้างสรรค์” ใช่ไหม เด็กจึงเข้าใจว่าการสร้างสรรค์ต้องเริ่มจากการ “วิพากษ์” เสียดเย้ย และล้มล้างกรอบเกณฑ์อะไรบางอย่างเสียก่อน การสร้างสรรค์ที่แท้จริง ความฝัน ความต้องการ และจินตนาการที่แท้จริงของเขาจึงจะเกิดขึ้นได้
เรื่อง “พานไหว้ครู” จึงมีอะไรมากมายให้เราได้คิดต่อทั้งคิดร้ายและคิดดีอย่างที่แจกแจงมานี้ล่ะครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี