ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ได้แสดงท่าทีสำคัญในการต่อต้านสงครามการค้าของสหรัฐ โดยการแสดงสุนทรพจน์สำคัญสามครั้ง สรุปใจความว่าจีนประดุจทะเลใหญ่ ไม่กลัวคลื่น ไม่กลัวลม และสู้คลื่นสู้ลมมาแล้วนับพันปี และจะเผชิญกับคลื่นลมต่อไปอีกนับพันปี จึงไม่กลัวคลื่นลมของสงครามการค้าในครั้งนี้
จากนั้นก็ได้แสดงสุนทรพจน์ในเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองว่า จีนพร้อมทำสงครามยืดเยื้อทางการค้ากับสหรัฐจนถึงที่สุด
และในครั้งที่สาม ในช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง เดินทางไปมณฑลเจียงซี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทัพทางไกลอันเลื่องชื่อลือชาของโลก ก็ได้แสดงสุนทรพจน์ว่าประชาชาติจีนจะเข้าสู่สงครามการค้าตามแบบอย่างการเดินทัพทางไกลของกองทัพแดงที่นำโดยประธานเหมา เจ๋อ ตุง
การแสดงสุนทรพจน์ครั้งที่สามนี้เป็นการเอ่ยนามประธานเหมา เจ๋อ ตุง อย่างชัดเจนพร้อมวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของกองทัพแดงในประวัติศาสตร์ของจีน ซึ่งนับแต่ยุคหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมแทบไม่มีผู้นำหรือผู้ใดในประเทศจีนที่เอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนเยี่ยงนี้มาก่อนเลย
การเชิดชูนามของประธานเหมา เจ๋อ ตุง ในยุคการเดินทัพทางไกลในการต้านสงครามทางการค้ากับสหรัฐจึงมีผลต่อการปลุกเร้าให้คนจีนทั่วประเทศได้ตระหนักว่าสงครามครั้งนี้เป็นสงครามใหญ่ เป็นสงครามที่ต้องใช้เวลา และต้องใช้ความทรหดอดทนและความเสียสละของประชาชาติจีนทั้งมวลตามแบบอย่างวีรกรรมและความเสียสละของวีรชนของกองทัพแดงในอดีต
สหรัฐโดยการนำของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศทำสงครามการค้ากับจีน และได้ขยายสงครามการค้านั้นไปในปริมณฑลต่างๆ ทั้งทางการค้า และลุกลามไปถึงทางด้านเทคโนโลยี ดังเช่นการต่อต้านบริษัทหัวเว่ย และเครือข่าย 5G ของหัวเว่ย ถึงขั้นกดดันประเทศต่างๆ ไม่ให้ร่วมมือกับหัวเว่ยด้วย
เป็นผลทำให้ผู้ประกอบการกว่า 3,000 รายแล้วของสหรัฐได้เข้าชื่อกันขอให้รัฐบาลยุติสงครามการค้า ในขณะที่ชาวอเมริกันก็ได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เพราะการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนนั้นแม้ว่าผู้ประกอบการส่งออกของจีนจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น แต่ทุกจำนวนภาษีที่เพิ่มขึ้นก็ถูกบวกเข้ากับราคาสินค้าที่ขายในสหรัฐด้วย
เหตุนี้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนเต็มที่ก็คือชาวอเมริกัน จึงเกิดการต่อต้านการทำสงครามการค้าของรัฐบาลอย่างกว้างขวางและขยายวงกว้างมากขึ้น ไม่ต่างกับเมื่อครั้งสงครามเวียดนามที่สหรัฐจะเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ซึ่งสาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็คือการต่อต้านสงครามของชาวอเมริกันเอง
สหรัฐถูกต่อต้านจากชาวอเมริกันในสงครามเวียดนามจนปราชัยฉันใด ก็จะมีผลที่สุดที่จะต้องปราชัยในสงครามการค้าฉันนั้น กฎแห่งสงครามและประวัติศาสตร์สงครามได้พิสูจน์และกำหนดอนาคตของสงครามการค้าแน่นอนแล้ว
ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศทำสงครามการค้ากับจีนโดยอาศัยเครื่องมือเพียงสองอย่าง คือ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐ และการแซงก์ชั่น โดยกดดันมิตรประเทศทั้งหลายในโลกให้ต่อต้านการค้ากับจีนด้วย
แต่แทบไม่ได้ผล เพราะแทนที่มิตรประเทศของสหรัฐทั่วโลกจะเออออห่อหมกเข้าด้วยกับข้อเรียกร้องของสหรัฐกลับทำเมินเฉย และพากันใช้โอกาสนั้นค้าขายกับจีนอย่างสนุกสนานเอิกเกริก
นั่นเป็นเครื่องมือในการทำสงครามการค้าของสหรัฐ ดังนั้นจึงควรทำความรู้จักเครื่องมือในการทำสงครามต่อต้านสงครามการค้าที่จีนตอบโต้สหรัฐด้วย เครื่องมือที่สำคัญที่ทั่วโลกเห็นแล้วได้แก่
การขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐเข้ามายังประเทศจีน ซึ่งมุ่งต่อประเภทสินค้าและธุรกิจที่เป็นฐานคะแนนเสียงของรัฐบาลปัจจุบัน ทำให้รัฐบาลสหรัฐถูกคัดค้านและถูกขัดขวางจากฐานคะแนนเสียงของรัฐบาลเอง ยิ่งการคัดค้านต่อต้านจากฐานคะแนนเสียงมากเท่าใดก็จะเกิดแรงกดดันทางการเมืองต่อประธานาธิบดีทรัมป์มากขึ้นเท่านั้น
การใช้มาตรการที่โลกคาดไม่ถึง นั่นคือการยกเลิกข้อตกลงที่สหรัฐจะนำขยะซึ่งล้นประเทศมาทิ้งหรือมาแปรรูปใหม่ในประเทศจีน ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อทั่วประเทศสหรัฐ เพราะขยะแต่ละวันนั้นมีจำนวนมหาศาล แต่ละเดือนก็ยิ่งมากมายมหาศาล สหรัฐจะต้องหาแหล่งนำขยะไปทิ้งแทนการนำไปสู่ประเทศจีน ซึ่งมิตรประเทศต่างๆ ของจีน จะด้วยเหตุผลกลใดไม่ปรากฏ ได้ปฏิเสธการรับขยะจากต่างประเทศกันอย่างกว้างขวางในโลกทุกวันนี้
การใช้มาตรการไม่ส่งแร่สำคัญสำหรับใช้ในการทำชิพคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้ประกอบการระบบไอทีทั้งหมดของสหรัฐประสบปัญหา ไม่สามารถผลิตชิพได้ตามความต้องการของตลาด และถึงกับต้องเลิกโครงการหรือเลื่อนโครงการจำนวนมาก อันจะทำให้สหรัฐล้าหลังในการพัฒนาเทคโนโลยีไปอีกหลายปี
การยกระดับความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ที่ถูกสหรัฐกดดันและการกระชับความร่วมมือกับประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ เพื่อตอบโต้สหรัฐหรือเตรียมรับมือด้วยความหวาดหวั่นว่าสักวันหนึ่งสหรัฐก็อาจจะปฏิบัติเช่นเดียวกับจีน และจะใช้เป็นเหตุกดดันประเทศเหล่านั้น เมื่อมีความหวาดกลัวหวาดหวั่นเกิดขึ้น ประเทศต่างๆ ในโลกก็ยิ่งหันไปจับมือกับจีนร่วมกันพัฒนาระบบปฏิบัติการและเทคโนโลยีมากขึ้น
ดังเช่นความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกันล่าสุดระหว่างจีน รัสเซีย และอินเดีย ซึ่งมีประชากรเกือบครึ่งโลก อันจะทำให้สหรัฐโดดเดี่ยวและอ่อนแรงมากขึ้น
เหล่านั้นเป็นเครื่องมือต่อต้านสงครามการค้าที่ชาวโลกรู้จักและได้รู้เห็นแล้ว แต่ที่ยังไม่เป็นที่รู้และไม่เป็นที่เข้าใจก็คือปรัชญาในการทำสงครามการค้าในครั้งนี้ ซึ่งต้องถือว่าในเรื่องการสงครามนั้นจีนเป็นเจ้าตำรับและเหนือชั้นกว่าประเทศตะวันตกมาก
เพราะประเทศตะวันตกมีระบบการสงครามโดยถือหลักคิดเอามากชนะน้อยเอาอ่อนชนะแข็ง และมียุทธศาสตร์เชิงรุกในระยะเวลาสั้น และทำสงครามในสมรภูมิเดี่ยวเป็นพื้น ซึ่งถ้าหากติดตามศึกษาประวัติศาสตร์สงครามก็จะเห็นความจริงนี้กระจ่างชัด
สำหรับจีนได้ถือหลักยุทธศาสตร์ในการชี้นำการทำสงครามทางการทหารมาหลายพันปีแล้ว และในยุคใกล้นี้จีนก็ได้มีเครื่องมือทางยุทธศาสตร์สำคัญเพิ่มขึ้น นั่นคือยุทธศาสตร์สงครามยืดเยื้อและยุทธศาสตร์สงครามจรยุทธ์ ซึ่งประธานเหมา เจ๋อ ตุง ได้กำหนดและใช้นำในการทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่นประสบความสำเร็จมาแล้ว
สงครามยืดเยื้อก็คือสภาพการณ์ของสงครามที่ฝ่ายหนึ่งมีความเป็นธรรมหรือทำสงครามที่เป็นธรรม แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่เป็นธรรม เช่น การทำสงครามรุกราน หรือการทำสงครามเพื่อการผูกขาด จีนจึงถือว่าสงครามการค้านั้นจีนทำสงครามเป็นธรรม ส่วนสหรัฐทำสงครามที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งกฎแห่งสงครามชี้ชัดว่าในที่สุดสงครามที่เป็นธรรมย่อมชนะสงครามที่ไม่เป็นธรรม
แต่จีนก็ถ่อมตนว่าสหรัฐมีความเหนือกว่าในด้านเศรษฐกิจและการค้า โดยจีนด้อยกว่า ดังนั้นแม้จีนมีอนาคตที่จะชนะสงครามการค้าแต่ก็ไม่อาจชนะในเร็ววันได้ สภาพจึงกำหนดให้สงครามการค้าการนี้เป็นสงครามยืดเยื้ออันเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ประกาศว่าจีนทำสงครามยืดเยื้อ ตอบโต้สงครามการค้ากับสหรัฐ
เมื่อประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ได้ใช้หลักคิดทำสงครามยืดเยื้อที่เคยใช้ในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นมาใช้ในสงครามการค้าแล้ว ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการทำสงครามยืดเยื้อคือยุทธศาสตร์สงครามจรยุทธ์ ที่เคยใช้ในสงครามยืดเยื้อต่อต้านญี่ปุ่น ก็ย่อมถูกจัดระบบความคิดและระบบปฏิบัติอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วอย่างแน่นอน
ยุทธศาสตร์สงครามจรยุทธ์นั้นคนไทยรู้จักเพียงคำพูด 16 คำ คือ “เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม” แต่ความจริงยังมีความล้ำลึกละเอียดอ่อนกว่านี้อีกมากมาย ดังเช่น
ประการแรก การระดมประชาชาติที่รักชาติทั้งมวลเข้าสู่สงครามการค้า ก่อตั้งขึ้นเป็นหน่วยจรยุทธ์เล็กๆ ตั้งแต่หน่วยจัดสอง หน่วยจัดสาม หน่วยจัดห้า หน่วยจัดแปด และหน่วยจัดสิบสอง เป็นต้น และประสานกองจรยุทธ์ที่ขับเคลื่อนประสานกันอย่างมีแผนในทำนองเดียวกันกับการรบในระดับกองร้อย กองพัน กองพล กองทัพ และกลุ่มทัพ
สำหรับยุทธวิธีนั้นที่สำคัญก็คือยุทธวิธีกินข้าวทีละคำ ตีให้แตกเป็นส่วนๆ ทำให้ข้าศึกประจำที่ให้เคลื่อนที่ และทำลายหน่วยที่อ่อนแอที่สุด
ที่สำคัญคือหลักกลยุทธ์ที่ว่า การดำเนินสงครามจรยุทธ์ในสงครามยืดเยื้อนั้น แม้ในทางยุทธศาสตร์ต้องใช้เวลายาวนาน แต่ในทางยุทธวิธีต้องแตกหักรวดเร็ว
แม้กระทั่งการทำลายล้างข้าศึก ก็มีกลยุทธ์ว่าต้องไม่ทำให้ตายทั้งหมด จะต้องทำให้ตายเพียง 70% และให้เจ็บพิการ 30% เพื่อให้เกิดภาระแก่ข้าศึก และทำให้ข้าศึกส่วนที่เหลือขับเคลื่อนไม่ได้
ดังนั้นในขณะที่ทั้งสองฝ่ายทำสงครามยืดเยื้อทางการค้ากันในครั้งนี้ ประเทศไทยเราจะทำอย่างไร ก็ควรใช้ท่าทีหลังจากขงเบ้งกลับจากไปปั่นให้ซุนกวนรบโจโฉ และมีลมสลาตันพัดมาก็จัดทัพโจมตีซ้ำเติม แล้วชวนขึ้นไปนั่งบนยอดเขา คอยดูความพินาศของกองทัพโจโฉฉะนั้น
แต่ทว่าสงครามยืดเยื้อทางการค้าครั้งนี้ส่งผลกระทบกว้างขวาง จึงมีทั้งวิกฤติและโอกาสผสมปนเปกันอยู่ หากผู้มีหน้าที่มีสติปัญญาก็สามารถช่วงชิงโอกาสที่เป็นคุณแก่บ้านเมืองของเราได้
จึงไม่ควรขึ้นนั่งบนยอดเขาคอยดูสงครามเฉยๆ หากควรจะคิดอ่านช่วงชิงโอกาสที่เป็นประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี