จากการเสวนาครั้งสำคัญเรื่องสภาพการของเรือนจำที่ประกอบด้วยวิทยากรหลากหลาย ที่เคยมีประสบการณ์ในการติดคุกมาแล้ว ตั้งแต่ระดับรัฐมนตรี นักการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักวิชาการ และผู้มีชื่อเสียงหลายคน ต่างมีผลสรุปไปในทำนองเดียวกันว่ามีเรื่องที่จำเป็นต้องปรับปรุงเรือนจำครั้งใหญ่
เรื่องแรกที่พูดถึงกันคือมีการตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้คนในเรือนจำราว 70% ที่ไม่สมควรต้องติดคุก บ้างก็ไม่ได้กระทำความผิด บ้างก็อยู่ระหว่างการพิจารณาแต่ไม่ควรที่จะติดคุกในระหว่างนั้น บ้างก็สามารถใช้มาตรการอย่างอื่นแทนการจำคุกได้
และเรื่องสำคัญก็คือสภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ที่ต้องติดคุกอยู่ในเรือนจำ ซึ่งสรุปตรงกันว่าสภาพชีวิตย่ำแย่ ด้อยกว่ามาตรฐาน และขาดมาตรการที่จะทำให้บุคคลเหล่านั้นได้ฟื้นคืนความเป็นมนุษย์ที่จะกลับมาเข้าร่วมสังคมที่ดีกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ทั้งหมดนี้ความจริงก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิชาทัณฑวิทยา ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ก็เคยรู้เคยศึกษากันมาแล้วทั้งนั้น คงเหลือแต่วิธีการปฏิบัติและการปฏิบัติจริงให้เป็นไปตามหลักวิชาทัณฑวิทยา ซึ่งมีที่หมายปลายทางในการทำให้ผู้ที่ต้องขังหรือที่ติดคุกได้ฟื้นคืนชีวิตใหม่ที่สามารถกลับมามีคุณค่าของชีวิตและมีคุณค่าทางสังคมของคนในชาติได้
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องพึงตรวจสอบและแก้ไขปัญหา เพราะการที่เรื่องราวในคุกถูกนำมาพูดต่อสาธารณะนั้นเป็นเรื่องหาได้ยาก เป็นเรื่องควรเตือนสติให้กับผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการทำให้การต้องโทษของผู้ต้องขังไม่เสียเปล่า และไม่กลายเป็นแหล่งเพาะอาชญากรที่รุนแรงยิ่งขึ้น และเพื่อให้คนเหล่านั้นได้กลับมามีชีวิตใหม่ร่วมกับสังคม
แต่ที่จะกล่าวถึงในครั้งนี้เป็นเรื่องแนวความคิดใหม่ ซึ่งความจริงก็เป็นเรื่องเก่าที่มีการคิดและทำกันมาไม่น้อยกว่า 50 ปีแล้ว เพราะปัญหาแบบเดียวกันนี้ไม่ใช่เกิดมีเฉพาะบ้านเมืองของเรา แต่เกิดขึ้นมาแล้วในหลายประเทศ ซึ่งเขาก็ได้ปรับปรุงแก้ไขกันไป จนสามารถตั้งเป็นมาตรฐานของเรือนจำให้ได้รู้กันโดยทั่วไป
แต่ที่น่าสนใจมากก็คือบทเรียนของประเทศจีน ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าในยุคหลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น ประเทศจีนเต็มไปด้วยความลำบากยากจนและขาดแคลน และเมื่อประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่ มีคนมาก จึงมีผู้ต้องโทษติดคุกอยู่ในเรือนจำเป็นจำนวนมาก ดังนั้นปัญหาสภาพความเป็นอยู่ทั้งการกินการอยู่และการอบรมฝึกฝนให้กลับมาเป็นคนดีในสังคมจึงเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมาก และเป็นปัญหาใหญ่ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของประธานเหมา เจ๋อ ตุง ต้องพิจารณาเรื่องนี้ โดยถือเป็นวาระแห่งชาติ และในที่สุดก็ได้ออกมาตรการทั้งชุดเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติทั่วทั้งประเทศจีน
และเนื่องจากคุกในเมืองจีนนั้นก็มีอยู่มากมายในทุกมณฑล ทุกเมือง จึงมีการรณรงค์เรื่องนี้ด้วยคำขวัญว่า “คุกคือโรงเรียนใหญ่ และกองการผลิตใหญ่” และมีการชี้นำชี้แนะในรายละเอียดของการปฏิบัติอย่างครบถ้วน รวมความก็คือแปรสภาพคุกหรือเรือนจำให้เป็นโรงเรียนใหญ่และให้เป็นกองการผลิตใหญ่
คำขวัญที่ว่า “คุกคือโรงเรียนใหญ่” ก็คือการแปรสภาพคุกหรือเรือนจำให้เป็นโรงเรียนในการฝึกอบรมด้านคุณธรรม จริยธรรม วินัย และระเบียบปฏิบัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมทั้งหน้าที่ของพลเมืองจีนที่ทุกคนมีหน้าที่รับใช้ประเทศชาติและประชาชน มีหน้าที่รับใช้พรรคที่เป็นกองหน้าของการปฏิวัติจีน
และที่สำคัญคือให้มีการสำรวจความต้องการและความถนัดของผู้ต้องขังแต่ละคนว่ามีพื้นฐานความรู้และประสบการณ์อะไรบ้าง มีความต้องการที่จะเล่าเรียนหรือศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องใดบ้าง จากนั้นก็จัดหมวดหมู่เป็นกองร้อย กองพัน แล้วจัดหลักสูตรให้ได้อบรมศึกษาเล่าเรียนกันตามความถนัดและตามความต้องการ
เป็นการสร้างรากฐานความรู้และประสบการณ์ให้ติดตัวผู้ต้องขังทุกคนให้มีความพร้อมในการกลับเข้าสู่สังคมใหม่ และทำให้ผู้ต้องขังหรือนักโทษกลายเป็นคนที่มีระเบียบวินัยสูง มีความรู้ดี มีประสบการณ์ในการทำงาน พร้อมที่จะทำการงานหาเลี้ยงตนและครอบครัวได้
คำขวัญที่ว่า “คุกคือกองการผลิตใหญ่” ก็คือการกำหนดแนวคิดว่านักโทษหรือผู้ต้องขังทุกคนต้องไม่เป็นภาระให้แก่ประเทศชาติและประชาชนจีนซึ่งลำบากยากจนข้นแค้นอยู่แล้ว ดังนั้น จึงต้องทำการผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเลี้ยงเรือนจำทั้งหมด ไม่ให้เป็นภาระแก่งบประมาณแผ่นดิน
จากนั้นก็จัดให้ผู้ที่เรียนในสาขาที่จะต้องใช้ในการผลิต หรือที่จบหลักสูตรการเรียนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตแต่และเรื่องมาจัดเป็นกองร้อย กองพัน แบบหน่วยทหาร เพื่อทำการฝึกฝนการปฏิบัติจริง ทั้งทางการเกษตร ปศุสัตว์ ประมง หัตถกรรม ศิลปกรรม และอุตสาหกรรม รวมทั้งกิจการเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ และการค้นคว้านวัตกรรมใหม่ๆ
โดยตั้งเป้าหมายในการผลิตอาหารให้พอกินพอใช้ในเรือนจำทั่วประเทศ ไม่ว่าวัตถุที่ใช้ในการปรุงอาหารหรือใช้ในการแปรรูป รวมทั้งการบรรจุหีบห่อเพื่อตอบสนองให้แก่ความต้องการโดยการแลกเปลี่ยนระหว่างเรือนจำทั่วประเทศ
ในที่สุดผู้ต้องขังทุกคนและทุกเรือนจำก็สามารถผลิตอาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มและเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่สามารถใช้สอยได้โดยไม่ต้องจัดซื้อจัดหาจากที่อื่น และมีของเหลือใช้ที่สามารถจำหน่ายอย่างเป็นล่ำเป็นสันด้วย
เมื่อกองการผลิตใหญ่เติบโตขึ้นก็มีการจัดตั้งค่าแรงให้แก่ผู้ต้องขังหรือนักโทษที่ทำการผลิต จนกระทั่งสามารถทำให้ผู้ต้องขังเหล่านั้นมีรายได้ ยกระดับขึ้นสู่ค่าแรงขั้นต่ำและมากกว่านั้นได้ และนี่ก็ได้กลายเป็นรากฐานของระบบความคิดเรื่อง startup ในเวลาต่อไป
กองการผลิตใหญ่ยังพัฒนาก้าวหน้าต่อไปอีก นั่นก็คือนักโทษที่มีความประพฤติดี มีผลงานดี ก็จะได้รับสิทธิ์ให้พบกับญาติพี่น้องเป็นจำนวนวันตามผลงานและคุณความดี และก้าวหน้าไปถึงขั้นสร้างโรงแรมรับรองสำหรับให้ญาติพี่น้องไปพักและพบปะเยี่ยมเยือนผู้ต้องขังได้
อีกด้วย โดยโรงแรมเหล่านั้นเป็นของเรือนจำและเก็บค่าเข้าพักตลอดจนค่าอาหารจากผู้มาเยี่ยม และจำนวนมากที่ญาติพี่น้องลำบากยากจนก็ได้อาศัยเงินทุนที่ผู้ต้องขังมีอยู่และเก็บออมไว้ในบัญชีที่เรือนจำดูแลรับผิดชอบจ่ายเป็นค่าที่พักและค่ารับรองนั้นๆ
ดังนั้นในขณะที่มีปัญหากล่าวขานกันเกี่ยวกับสภาพคุกในบ้านเมืองของเราก็น่าที่จะพิจารณาแนวความคิดในการแปรสภาพคุกให้เป็นโรงเรียนใหญ่และกองการผลิตใหญ่ด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี