ไม่มีข่าวไหนที่ดู “โง่เขลาเบาปัญญา” เท่ากับข่าวคณะทำงานของรัฐมนตรีช่วย 2 คน แห่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “แย่งห้องทำงาน” กัน ภาพความอัปลักษณ์เหล่านี้ คือตัว “บั่นทอน” ความหวังต่อรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ครั้งนี้ไม่ใช่รัฏฐาธิปัตย์จากการยึดอำนาจ ทว่าเป็นรัฐบาล “ผสม” ที่มาจากการเลือกตั้ง
เส้นทางใหม่ของ พ.อ.ประยุทธ์ ไม่ง่ายดังเก่า ที่รวบรวมเอารี้พลจากกองทัพมารองรับการดูแลประเทศอย่างมีวินัย บอกให้ไปทางซ้ายก็ไป บอกให้ไปทางขวาก็ไม่ขัดขืน ทว่าคราวนี้เต็มไปด้วย “อิสรชน” คนมี “ฐานเสียงรองรับ” และมีกลุ่ม สส. แวดล้อม ร่วมสร้าง “อำนาจต่อรอง” กับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรง ดังนั้น ไอ้ที่ฝันกันไว้ว่า “เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่” ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย
เวลานี้ผู้คนต่างพร้อมใจกันวิพากษ์วิจารณ์ “คณะรัฐมนตรี” ที่มี “คนมีตำหนิ” ร่วมอยู่ด้วยหลายคน
แม้คนที่รักและเชียร์ “ลุงตู่” สุดใจขาดดิ้น ยังบ่นกับพึมพำว่าเอาคนนั้น คนนี้ มาร่วมในคณะรัฐมนตรีทำไม
พวกเขาไม่เข้าใจหรอกหรือ ว่า “ลุงตู่” สุดที่รักนั้น ไม่ได้ “หายใจ” ด้วยจมูกของตัวเอง “ตามลำพัง” อีกแล้ว!!
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมา ก็คือ “ปัญหา” ของรัฐบาลใหม่นี้ ที่เริ่มนับหนึ่งจาก “การเลือกคน”
ความที่มันติดระบบ “โควตา” มีทั้งโควตาของ คสช. โควตาของ “เฮียกวง” โควตาของ กปปส. โควตาของกลุ่ม 3 มิตร แค่นี้ก็ “หัวหมุน” กันแทบแย่แล้ว ส่วน “พรรคร่วมรัฐบาล” นั้น คงไม่ง่าย ที่จะไปก้าวก่ายแทรกแซงเขา เต็มที่ก็ได้แค่ปฏิเสธ “พี่ชาย” แล้วได้ “น้องสาว” มาแทน เมียคุณสมบัติมีปัญหา ผัวก็มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีแทน อย่างนี้เป็นต้น
สุดท้ายคนจึงได้พร้อมใจกันวิจารณ์ว่า รัฐบาลนี้มีปัญหาเรื่อง “ภาพ” อยู่ 4 ภาพ ด้วยกันคือ
1) เอกภาพ : เริ่มต้นจากพรรคหลักในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล คือ พรรคพลังประชารัฐ ในพรรคมีหลายกลุ่มหลายก๊วนเกินไป ทำให้ไม่มีเอกภาพ แต่งตั้งตำแหน่งอะไรทีก็แย่งกันที เมื่อเอกภาพจากจุดเริ่มต้นไม่มี ไม่แข็งแรงพอ ก็ส่งผลต่อข้อต่อไป
2) เสถียรภาพ : คือการทำงานร่วมกับ “พรรคร่วมรัฐบาล” ซึ่งต้องการการประสานงานกันอย่างแนบแน่นและ “รู้เรื่อง” เพื่อให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน สื่อสารไปในแนวด้วยกัน อันจะมีผลให้ประชาชน นักลงทุน และต่างประเทศมั่นใจ ว่ารัฐบาลนี้จะสามารถผลักดัน ขับเคลื่อน นโยบายต่างๆ ได้ในระยะยาวโดยไม่เกิดปัญหาขึ้นกลางคัน แต่พรรคร่วมรัฐบาลรอบนี้มีเกือบ 20 พรรคที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า เจรจากันอยู่นานกว่าจะลงตัว ปัญหาถัดไปที่จะตามมา คือ จะชูนโยบายของพรรคไหนขึ้นมาเป็นใหญ่ ในเมื่อหลายๆ นโยบาย แต่ละพรรคก็มุ่งมั่นที่จะยึดเอาแนวทางของตนไปปฏิบัติ บางพรรคมีนโยบายที่สวนทางกับพรรคหลัก จะหาจุดร่วมและจุดลงตัวกันอย่างไร แต่หากเกิดขัดใจ ไม่ไปในแนวทางเดียวกันขึ้นมา ประกาศถอนตัวออกมาแค่ 4-5 คน ก็จบแล้วรัฐบาลนี้
3) ประสิทธิภาพ : เนื่องจากท่านผู้นำ ไม่ได้มี “ความรอบรู้” ในกิจการบ้านเมืองมากนัก เพราะทั้งชีวิตอยู่กับการทหารเป็นสำคัญ ท่านอาจโดดเด่นบางด้าน โดยเฉพาะด้าน “ภาวะผู้นำ” แต่ก็ “รู้จำกัด-ถนัดน้อย” ในบางเรื่อง ท่ามกลางความไม่เป็นเอกภาพ ไม่มีเสถียรภาพ และความรอบรู้ที่จำกัดของท่าน ท่านจะควบคุม “ประสิทธิภาพ” อย่างไร นี่เป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อแนวทางการบริหารเศรษฐกิจ ฝากไว้กับกลุ่มนายสมคิดเป็นหลักแต่บางแนวทางของนายสมคิด ก็สวนทางกับแนวทางของพรรคร่วมบางพรรค เช่น พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งตัวชี้วัดที่กลุ่มนายสมคิดยังยึดติดกับจีดีพี แต่ประชาธิปัตย์บอกว่า จีดีพี ไม่ได้สะท้อนภาพความจริง โดยเฉพาะในระดับชาวบ้าน ดังนั้นต้องสร้างตัวชี้วัดใหม่ ขณะที่เรื่องนี้่ นายกฯ ท่านไม่ได้เชี่ยวชาญชำนาญ ท่านจะบริหารจัดการอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพได้ นี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างหนึ่งในอีกหลายๆ ตัวอย่างที่มีอยู่จริงใน “รัฐบาลผสม” ชุดนี้การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ก็ทำได้ทั้งในแง่หวังผลเชิงประสิทธิภาพ และในแง่ที่ต้องประนีประนอม แจกเก้าอี้ไป โดยไม่อาจหวังผลในประสิทธิภาพจากคนเป็นรัฐมนตรีได้ในบางกระทรวง อย่าลืมว่าประสิทธิภาพเท่านั้น ที่จะค้ำจุนให้ท่านและคณะ ยึดกุมอำนาจฝ่ายบริหารต่อไปได้ ขณะที่ฝ่ายค้านซึ่งจำนวนเสียงต่างจากรัฐบาลไม่มาก ก็ไล่จี้ไล่บี้อยู่ตลอดเวลา
4) ภาพลักษณ์ : รัฐมนตรีจำนวนไม่น้อยถูกจองกฐินที่จะซักฟอกเรื่องคุณสมบัติ และความสง่างาม เอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังที่เราทราบกัน
4 ภาพที่ยังพร่องอยู่เหล่านี้นั้น นายกฯ จะบริหารจัดการอย่างไร และจะส่งผลอย่างไร เวลาจะให้คำตอบแก่เรา
ถึงเวลานี้ ปัญหาการต่อรองเก้าอี้จบไปแล้ว จบสวยหรือไม่สวย พอใจหรือคาใจ ก็ต้องรอดูกันต่อไป
ด่านต่อมาที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเร่งผ่านให้ได้คือ การผสานแนวนโยบายของพรรคร่วม เข้ามาเป็นนโยบายรวม เพื่อแถลงต่อสภา และเดินหน้าลงมือทำ
คงไม่ใช่เรื่องง่าย หากพลังประชารัฐจะยึดเอาแต่นโยบายของตัวเอง โดยไม่นำนโยบายที่ชัดเจนและสำคัญของพรรคร่วมมาผสมผสาน แต่ก็มีวี่แววที่ดีว่า ยังไม่มีใครออกมาโวยวายในเรื่องดังกล่าวนี้ มีเพียงการให้สัมภาษณ์ที่ “ย้ำ” ว่าข้อตกลงหรือนโยบายสำคัญ แกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะไม่ “พลิกลิ้น”
เช่น เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวถึงการหารือระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลในการร่างนโยบายรัฐบาลเพื่อแถลงต่อรัฐสภา ว่า จากที่ตนได้รับมอบหมายจาก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์หัวหน้าพรรค ให้ไปหารือร่วมกับแกนนำพรรคพลังประชารัฐ เพื่อจัดทำนโยบายรัฐบาลนั้น ก็ได้ยืนยันเงื่อนไข 3 เรื่อง ในการร่วมรัฐบาลที่ต้องกำหนดในนโยบายรัฐบาล คือ นโยบายประกันรายได้เกษตรกร การแก้ไขวิธีการแก้รัฐธรรมนูญให้ง่ายขึ้น และการบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการเจรจาก่อนเข้าร่วมรัฐบาล โดยเงื่อนไขของพรรคเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและรัฐบาล อีกทั้ง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้รับปากทางโทรศัพท์กับหัวหน้าพรรคไว้แล้ว
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าจะไม่มีการระบุชัดเจนในนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับการประกันรายได้เกษตรกรและการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เป็นเรื่องที่พรรคพลังประชารัฐต้องทบทวน เนื่องจากเป็นข้อตกลงเดิม อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับแจ้งใดๆ และยังไม่เห็นร่างนโยบายที่มีการยกร่างล่าสุด แต่คิดว่าก่อนที่จะแถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภา น่าจะมีการส่งให้ทุกพรรคการเมืองได้เห็น
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ หรือ พปชร. ในฐานะประธานคณะทำงานประสานงานพรรคร่วม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมหารือเรื่องนโยบายกับพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 19 พรรรค ว่า พร้อมนำนโยบายของฝ่ายค้านมาหารือว่านโยบายใดเป็นนโยบายที่ดี ตอบสนองให้ประชาชน เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องนโยบายขอให้เปิดกว้าง และถือว่าเป็นสิ่งที่ดีหากได้มีการพูดคุยหารือกับฝ่ายค้านเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ
โดยการประชุมวันนี้ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที ได้ข้อยุติในเรื่องของนโยบายพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเบื้องต้นมีความครอบคลุมทุกด้าน จะเหลือเพียงบางประเด็นที่จะต้องดำเนินการอีกเล็กน้อย ก่อนจะนำเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ นโยบายทั้งหมด มี 2 ส่วน คือ นโยบายในปีแรก ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ คือเรื่องปากท้อง การลดความเหลื่อมล้ำ เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนรอคอยอยู่ ส่วนนโยบาย 4 ปี จะต้องตอบสนองความยั่งยืนและมั่นคงของประเทศ
ส่วน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายพรรคอนาคตใหม่ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่อง รัฐบาลประกาศว่าพร้อมนำนโยบายฝ่ายค้านไปปรับใช้ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่านโยบายสาธารณะของพรรคเปิดเผยทั่วไป และสส.พรรคอนาคตใหม่ ก็ได้อภิปรายให้สภา
รับฟังแล้ว หากนายกฯหรือรัฐบาลเห็นว่า เป็นประโยชน์ก็สามารถหยิบไปใช้ได้
เช่นเดียวกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งให้ทีมเศรษฐกิจศึกษานโยบายของฝ่ายค้านที่เกี่ยวข้องกับประชาชนฐานราก เพื่อนำไปบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล ว่า พรรคเพื่อไทยยินดีจะให้รัฐบาลนำนโยบายที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ไปใช้ และพร้อมให้คำปรึกษา แต่ขอให้ทำให้ดีและทำอย่างเข้าใจไม่ให้เกิดความเสียหาย และบิดเบือนเจตนารมณ์ จนเป็นผลเสียและย้อนกลับมาหาคนร่างนโยบาย
“รัฐบาลต้องปรับตัวอีกมากเพราะอาจเคยชินกับสภาที่สนับสนุนรัฐบาลฝ่ายเดียว ไม่มีระบบตรวจสอบถ่วงดุล อีกทั้งการใช้เวทีสภาคัดค้านหรือเห็นต่าง และการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ใช่การล้มรัฐบาล แต่เป็นกระบวนการนิติบัญญัติที่ควรจะมีซึ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีภาพเหล่านี้เกิดขึ้นจึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำความเข้าใจเจตนาการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน” นายภูมิธรรม กล่าว
เมื่อผ่านด่านร่างนโยบาย ถวายสัตย์ปฏิญาณ แถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภา 3 ขั้นตอนแล้ว ก็ถึงขั้น “ลงมือทำ”
ในขั้นตอนนั้น ผมขอฝากไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า มีอยู่ 6 ข้อ ที่ท่านพึงใส่ใจ ทำให้เกิดใน ครม. และรัฐบาลชุดนี้ คือ
1.อย่าปล่อยให้มีการทุจริตเกิดขึ้นเด็ดขาด ไม่ว่าในกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ และในหมู่ข้าราชการ เพราะนี่จะเป็นจุดแข็งที่สุด ที่ค้ำจุนรัฐบาล และสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในหมู่ประชาชน
2.ทุกโครงการที่ดำเนินการ ต้องโปร่งใส ใช้เงินอย่างคุ้มค่า โดยเฉพาะงบประมาณที่เกี่ยวกับ “กองทัพ” เพราะตัวท่านกับกองทัพ ถูกผูกโยงกันไว้ในฐานะ “ผู้ทำรัฐประหาร” และที่ผ่านมา งบฯ กลาโหมและงบกองทัพ คือส่วนที่ถูกจับตาและโจมตีมากที่สุด
3.เข้าหาและเข้าถึงประชาอยู่เสมอๆ โดยไม่ต้องทำให้เป็นพิธีรีตอง ใหญ่โต จนคนเสียดายงบประมาณที่ใช้กับ “ผักชีโรยหน้า” แต่เข้าหาและเข้าถึงอย่างเรียบง่าย เพื่อสะท้อนความใส่ใจและร่วมทุกข์ร่วมสุข พร้อมๆ กับการ “รับฟังความทุกข์” อย่างจริงจังและตั้งใจ หากท่านทำให้ประชาชนไว้ใจ รัก ประชาชนนี่แหละ ที่จะเป็นแนวร่วมที่แข็งแกร่งของท่าน แต่ต้องพยายามลดการแบ่งขั้วแบ่งข้างและสร้างความเกลียดชังต่อกัน ในฝ่ายที่ชอบท่านและไม่ชอบท่านด้วย
4.ประชาสัมพันธ์ สื่อสาร งานที่ทำ นโยบายที่ผลักดัน และความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาที่มีอยู่จริง (หมายถึงความมุ่งมั่น)ให้คนรับรู้อยู่ตลอดเวลา ให้ทันท่วงที ในเชิงบวก ด้วยถ้อยคำ การพูดจา และท่าทีที่สร้างสรรค์ โดยอาศัยบทเรียนจากช่วงที่ท่านเป็นหัวหน้า คสช. และถูกตำหนิติเตียนเป็นแนวในการ “ทำใหม่” พร้อมๆ กับเอาจริงเอาจังที่จะ “ขจัด” ข่าวปลอม หรือ fake news อย่างจริงจัง เข้มข้น หากจำเป็นต้องเพิ่มโทษตามกฎหมายให้หนักขึ้นเพื่อป้องปราม ก็จงทำอย่างเร่งด่วน
5.พร้อมรับการตรวจสอบ มีท่าทีที่ดีต่อการตรวจสอบ มีส่วนร่วมกับสภา (แม้ท่านไม่ได้เป็น สส. ซึ่งไม่ต้องประชุมสภา ยกเว้นมาตอบกระทู้ มาแถลงนโยบาย หรือมาฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ) ให้จริงจัง อย่าหลีกเลี่ยง จงมาตอบทุกครั้ง ที่ไม่ติดธุระสำคัญ
6.อย่าทะเลาะ ขัดคอ ขัดแข้งขัดขากันเอง ให้คนเขาเอือมระอา ทั้งในพรรคพลังประชารัฐเอง และกับพรรคร่วม เพราะคนจะตีความไปในเชิงผลประโยชน์ไม่ลงตัวก่อนเป็นอันดับแรก นอกจากกระทบต่อความรู้สึกคนแล้วยังกระทบต่อความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งมีผลพวงอื่นๆ ตามมาอีกมากได้
พี่น้องประชาชนครับ ฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลครับ ไม่ว่ารักหรือไม่รัก ชอบหรือไม่ชอบ พอใจหรือไม่พอใจ มีหวังหรือสิ้นหวัง สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ คือเราต้องอาศัยรัฐนาวาลำนี้ เคลื่อนชีวิตความเป็นอยู่และบ้านเมืองของเราไปข้างหน้าด้วยกัน ดังนั้น อะไรที่ควรชี้แนะจงชี้แนะ อะไรที่ต้องตรวจสอบก็ตรวจสอบ แต่อย่าทำเพราะชังหรือรัก
สิ่งที่เราต้องรักมากกว่าก็คือ ชาติบ้านเมืองของเรา!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี