วันเสาร์ ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ นครเจนีวา ที่ตั้งสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ รองจากนครนิวยอร์ก ในการประชุมประจำปี คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ (วันที่ 24 มิถุนายน-12 กรกฎาคม 2562) ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องสถานะของสิทธิมนุษยชนในประเทศสมาชิกสหประชาชาติ ซึ่งไทยเคยเป็นสมาชิก และเป็นประธานในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถือเป็นการสะท้อนระดับความเป็นประชาธิปไตย เกียรติยศ ศักดิ์ศรี และเกียรติยศของประเทศ
โดยหลังจากนั้นไทยเราได้สมัครอีกหน แต่ก็พ่ายแพ้ แถมสถานะก็ตกต่ำลงมาเรื่อยๆ ด้วยเรื่องรัฐบาลทหาร กับการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ปัญหาการค้ามนุษย์ และปัญหากระบวนการยุติธรรม แต่บัดนี้ก็หวังว่า รัฐบาลลูกผสมทหาร-พลเรือน คงจะเริ่มดำเนินการตีตื้น และมุ่งมั่นในการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบและการใช้อำนาจรัฐด้วยหลักนิติรัฐ และนิติธรรม
ความว่า กลุ่มประเทศฝักใฝ่และยึดมั่นในเรื่องสิทธิมนุษยชน นำโดยประเทศไอซ์แลนด์ (ประเทศที่เล็กที่สุดประเทศหนึ่งของโลก) ได้ร่วมกันเสนอข้อมติเพื่อให้มีการสอบสวนค้นหาข้อเท็จจริง และจัดทำรายงานเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการปราบปรามยาเสพติด ด้วยวิธีการฆ่าตัดตอน ของประเทศฟิลิปปินส์ (เป็นนโยบายแบบเดียวกันกับยุครัฐบาลทักษิณทุนนิยมสามานย์) เพื่อเสนอต่อสหประชาชาติ รวมทั้งประชาคมโลก
ฝ่ายฟิลิปปินส์นำโดย เจ้าของนโยบาย และมาตรการโหดเหี้ยม นายโรดริโก ดูเตร์เต ประธานาธิบดี ก็ดิ้นสุดกำลัง เพื่อคัดค้านอย่างเต็มที่ ในการจะล้มข้อเสนอร่างข้อมตินี้ โดยมุ่งพึ่งพาอิทธิพลของจีนเป็นหลัก โดยหวังว่าอิทธิพลของจีน จะสามารถการโน้มน้าวมิตรประเทศที่ตกเป็นทาสเงินของจีนไปแล้ว ทั้งประเทศในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา รวมทั้งกลุ่มบริคส์ (BRICS - Brazil, Russia, India, China, South Africa) จะรวมตัวกันช่วยฟิลิปปินส์ ทำการคัดค้านและคว่ำร่างข้อมติดังกล่าว
เพื่อแลกกับการช่วยเหลือของจีน ฟิลิปปินส์ถึงกับยอมสยบต่อจีน โดยเลือกที่จะไม่ใช้ประโยชน์จากผลการพิจารณาตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการถาวร (แห่งกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์) ในข้อพิพาททะลจีนใต้ที่ว่า จีนนั้นไม่มีสิทธิและข้ออ้างใดๆ ทางประวัติศาสตร์ และความเป็นจริงและข้อกฎหมายที่จะอ้างสิทธิ์ครอบครองพื้นที่ทะเลจีนตอนใต้ นอกจากนั้นแล้ว ฟิลิปปินส์เลือกที่จะนิ่งเฉย เมื่อจีนส่งกองเรือรบ เรือประมง แอบแฝงเข้ามาในน่านน้ำทะเลพิพาท และน่านน้ำของฟิลิปปินส์
แต่จนแล้วจนรอด การเดินแต้มทางการทูตของฟิลิปปินส์และจีนพี่เบิ้ม ในเรื่องนี้กลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เมื่อผลออกมาว่า ประเทศสมาชิก
ส่วนใหญ่ เลือกลงคะแนนเสียงสนับสนุนร่างข้อมตินำเสนอโดยไอซ์แลนด์
การณ์ว่าประเทศที่ควรลงคะแนนค้านข้อมติ เพื่อช่วยฟิลิปปินส์และจีน กลับเลือกงดออกเสียง โดยประเทศเหล่านั้น ได้แก่ ปากีสถาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก แอฟริกาใต้ และบราซิล ทำให้ฝ่ายคัดค้านขาดเสียงไปโดยปริยาย
เกจิอาจารย์การเมืองวิเคราะห์ว่า แม้ทั้ง 4 ประเทศต่างเป็นมหามิตรของจีน ก็ไม่สามารถโอนอ่อนต่อจีนได้ในเรื่องนี้ เพราะไม่สามารถจะหลับหูหลับตาร่วมรับตราบาปไปกับฟิลิปปินส์ เพราะการลงคะแนนนั้นมีผลแบบเปิดเผยเป็นหลักฐานถาวร ถ้าชาวโลกเห็นว่า ทั้ง 4 ประเทศเหล่านี้ไปเห็นดีเห็นงามกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนแบบฆ่ากันง่ายๆ โดยรัฐเป็นผู้ลงมือเอง ก็คงจะเสียชื่อประเทศ มันเป็นการสะท้อนจิตสำนึกที่ดี และขอบเขตข้อจำกัด ที่ไม่สามารถอะลุ้มอล่วยแบบถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ หรือเกาหลังกันไปกันมาได้
เมื่อผลเป็นเช่นนี้ ความเสียหายก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอนต่อสถานะทางการเมืองของประธานาธิบดี ดูเตร์เต แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับชาวฟิลิปปินส์ ที่ประชาคมโลกกำลังยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วยหลักมนุษยธรรมของการเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เหนือหลักการไม่แทรกแซงในกิจการภายในของแต่ละประเทศ
เรื่องนี้ ถือว่าจีนก็เสียหน้าอย่างมาก และคงจะทำให้ตระหนักได้ว่า อำนาจและอิทธิพลของตนนั้นมีขอบเขตจำกัด และการกระทำใดที่ไม่อยู่กับความถูกต้องชอบธรรมนั้น ไม่สามารถรอดไปได้เสมอ
ก็ต้องขอชมเชยไปยังประเทศไอซ์แลนด์ แม้เล็กจริง แต่ก็เล็กพริกขี้หนู เพราะกล้ายืนอยู่กับความถูกต้องชอบธรรม เผชิญหน้ากับประเทศใหญ่อย่างจีนในเวทีโลก
ต่อไปนี้ก็เป็นหน้าที่ของคณะทำงานของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติที่จะเร่งทำงาน นำเอาข้อเท็จจริงมาแฉต่อโลก และเป็นฐานให้กระบวนการยุติธรรมทั้งภายในฟิลิปปินส์และทั้งในโลกกว้าง ได้นำเอาความยุติธรรมคืนต่อชาวฟิลิปปินส์และเหยื่อผู้รับเคราะห์กรรม ผู้เสียหายต่างๆ
ผู้นำการเมืองมักอ้างว่า มาจากการเลือกตั้ง มาด้วยเสียงประชาชน แต่มิได้หมายความว่า จะมาทำอะไรตามอำเภอใจได้
ก็หวังว่าเคราะห์กรรมที่ก่อไว้ ก็จะได้รับกันไปเต็มๆ
เรื่องนี้ก็สอนให้รู้ว่า ผู้นำใด มีอำนาจ ได้รับความนิยมแค่ไหน ก็อย่าได้เหลิงไปกับอำนาจ เมื่อคิดอ่านทำการใดที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้อื่น คือผู้อยู่ใต้ปกครอง แต่เป็นเจ้าของสิทธิ์เจ้าของประเทศ วันพรุ่งนี้ก็อาจจะไม่มีแผ่นดินที่ยืนก็อาจไม่เหลือ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

เขมรส่งหญิงท้อง 4 เดือน ปกป้องชายแดน ล่าสุดเสียชีวิตแล้วที่บึงตะกวน
รมว.ท่องเที่ยวฯ-เปิดงาน! ‘เทศกาลกินปลาทู’ ชูความอร่อยเมนูเด็ดเมืองแม่กลอง
โอนเงินเยียวยาน้ำท่วมใต้แล้ว 1,071,755 ครัวเรือน รวม 9,645,795,000 บาท
โผล่มาอีก พบโดรนปริศนา ตกในพื้นที่ชาวบ้านทุ่งศรีอุดม จ.อุบลฯ
กองทัพ โต้ ทรัมป์ เหยียบกับระเบิด ไม่ใช่ อุบัติเหตุ ย้ำตอบโต้กลับตามสัดส่วน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี