วันจันทร์ ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ปกติคอลัมน์นี้ไม่เคยเขียนบทความไว้อาลัย แต่คราวนี้จำเป็นและสมควรที่จะต้องเขียนไว้อาลัยให้กับคนสักคนหนึ่งที่โดยทั่วไปไม่มีใครรู้จัก นั่นคือนายพิธาร พืชมงคล น้องชายที่สนิทที่สุดและเป็นที่รักของผู้เขียนบทความนี้
พิธารเป็นน้องคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 7 คน ของครอบครัว และต้องถือว่าเป็นน้องที่ลำบากยากจนมากที่สุด แต่กลับร่ำรวยด้วยมิตรสหายมากหน้าหลายตาในขอบเขตทั่วประเทศ
เพราะทั้งชีวิตไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเองเลย ทั้งๆ ที่พื้นฐานครอบครัวและการศึกษาตลอดจนหมู่มิตรทั้งหลายก็พร้อมที่จะสนับสนุนหรือร่วมไม้ร่วมมือทำกิจการใดๆ ก็ได้ แต่พิธารไม่เลือกหนทางสายนี้ กลับเลือกหนทางสายเดียวคือหนทางรับใช้ประชาชน
พิธารเริ่มการศึกษาที่โรงเรียนบ้านระโนดธัญญเจริญ แล้วเรียนต่อที่โรงเรียนวัดราษฎร์บำรุง จากนั้นจึงมาเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ และต่อชั้น ม.ศ.4 และม.ศ.5 ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ จากนั้นก็เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ระหว่างการเรียนก็ได้เข้าร่วมกับขบวนการนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตย ในการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสุดตัว จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 พิธารและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทั้งหลายก็เข้าป่าไปเป็นทหารของกองทัพปลดแอกประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์ สาขาภาคใต้
และได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ประสานงานกับเครือข่ายทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน ตลอดจนชนเผ่าต่างๆ จากนั้นก็ได้รับมอบหมายให้ไปเป็นกรรมการประสานงานกับพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนของประเทศไทยโดยประจำอยู่กับสำนักเลขาธิการใหญ่ พรรคคอมมิวนิสต์มาลายา ซึ่งมีเฉินผิง หรือจีนเป็ง ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่
เพราะเหตุที่ เฉินผิง หรือจีนเป็ง เป็นคณะผู้บัญชาทหารของกองทัพปลดแอกประชาชนมาลายาด้วย จึงทำให้พิธารได้มีโอกาสรู้จักใกล้ชิดกับผู้บัญชาและเสนาธิการทั้งสามกรมของกองทัพปลดแอกมาลายาที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ คือกรมที่ 8, กรมที่ 10 และกรมที่ 12
ต่อมามีการจัดตั้งกองกำลังร่วมปฏิบัติการในพื้นที่เขตต่อแดนระหว่างกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยกับกองทัพปลดแอกประชาชนมาลายา ซึ่งเรียกองค์กรนี้ว่าเบอซาตู มีเพลงประจำองค์กรคือเพลงเบอซาตูอารยัส หรือเอกภาพแห่งเบอซาตู องค์กรนี้ไม่ใช่องค์กรแบ่งแยกดินแดนดังที่เข้าใจผิดกันในภายหลัง และไม่ใช่องค์กรเดียวกันกับขบวนการบีอาร์เอ็นในปัจจุบันนี้
หลังรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ปรับมาใช้ยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหารตามคำสั่งที่ 66/2523 สงครามตามแนวชายแดนและภายในประเทศได้สิ้นสุดลง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และพลเอกกิตติ รัตนฉายาได้รับผิดชอบในการประสานงานทำสนธิสัญญาสงบศึกสามฝ่ายระหว่างรัฐบาลมาเลเซีย พรรคคอมมิวนิสต์มาลายา และกองทัพไทย โดยตกลงทำสนธิสัญญากันที่หาดใหญ่ ทำให้สงครามยืดเยื้อ 30 ปี สิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาด
ตามสนธิสัญญาดังกล่าว รัฐบาลไทยตกลงให้สัญชาติแก่ชาวพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาทั้งหมดที่ตัดสินใจตั้งรกรากในประเทศไทย ซึ่งเปลี่ยนรัฐบาลเปลี่ยนยุคหลายสมัยแต่พิธารก็ได้รับมอบหมายให้ประสานงานในการมอบสัญชาติตามสนธิสัญญานั้นต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาถึง 15 ปี จึงเสร็จสิ้นในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร
หลังเกิดเหตุปล้นปืนที่บ้านเจาะไอร้อง ไฟสงครามที่มอดลงได้คุโชนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นในการทำแผนป้องกันพื้นที่ยุทธศาสตร์หลายแห่งในพื้นที่สามจังหวัดจึงได้อาศัยพิธารในการประสานงานเชิญอดีตเสนาธิการและทหารฝ่ายนำของกองทัพปลดแอกมาลายาหลายคนที่ชำนาญภูมิประเทศร่วม 30 ปี มาจัดทำแผนจนเสร็จสิ้น และได้มอบแก่ทางราชการรวมทั้งบุคคลสำคัญของประเทศ เอกสารนี้กระทำในชื่อ “นายภักดีราช”
ซึ่งอาจถูกนำมาใช้บ้างหรือไม่เพียงใดย่อมเป็นเรื่องที่น่าสนใจติดตาม
ในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ มีนโยบายต้องการพัฒนาพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาทางศาสนา การรักษาพยาบาล และการท่องเที่ยวระดับโลก ซึ่งจำเป็นต้องสำรวจภูมิประเทศครั้งใหญ่
เนื่องจากพื้นที่นั้นมีอุโมงค์ประวัติศาสตร์ที่ชาวพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาโดยการฝึกสอนของหน่วยทหารสำคัญของจีนภายใต้บัญชาของจอมพลหลิว ป๋อ เฉิง 1 ใน 10 ขุนพลของประธานเหมา เจ๋อ ตุง ได้ขุดเชื่อมต่อกันไว้เป็นอุโมงค์ประวัติศาสตร์ที่มีขนาดใหญ่ขนาดยาวที่สุดของโลก
และเวียดนามภายใต้การนำของท่านโฮจิมินห์ก็ได้ร้องขอความช่วยเหลือต่อท่านเฉินผิง ขอส่งกองทหารเวียดมินห์มาฝึกวิธีทำอุโมงค์และได้นำไปขุดใช้ในเวียดนามในการทำสงครามต่อต้านสหรัฐ ซึ่งท่านเฉินผิงก็ยินดีและถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณเนื่องจากท่านโฮจิมินห์เคยเป็นผู้แทนองค์การคอมมิวนิสต์สากลมาเป็นผู้แทนในพิธีจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา
อุโมงค์ประวัติศาสตร์ในเวียดนามจึงมีขนาดสั้นและเล็กกว่าอุโมงค์ประวัติศาสตร์ที่ชาวพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาได้ขุดไว้ ในครั้งนั้นพิธารก็ได้ช่วยเหลือประสานงานให้กับทางราชการ เชื่อมประสานอดีตทหารปลดแอกของทั้งสองพรรคให้จัดส่งข้อมูลและจุดพิกัดต่างๆ ของอุโมงค์ประวัติศาสตร์ เพื่อให้รัฐบาลได้นำไปจัดทำแผนที่ท่องเที่ยว แต่น่าเสียดายรัฐบาลนั้นอายุสั้น การดังกล่าวจึงเงียบหายไปจนถึงทุกวันนี้
พิธารได้ใช้ชีวิตทั้งหมดในการช่วยเหลือเกื้อกูลขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยส่วนตน และไม่เห็นแก่การทำอาชีพการงานใดๆ ของตัวเองเลย
วันนี้ดาวดวงนี้ล่วงลับแล้ว และอีกไม่กี่ชั่วโมงของวันนี้ร่างของพิธารก็จะได้รับการฌาปนกิจตามประเพณี ด้วยความอาลัยและรำลึกถึงของญาติพี่น้องและมิตรสหายไปตลอดกาล
เหมา เจ๋อ ตุง เคยกล่าวไว้ว่าทุกคนเกิดมาย่อมต้องตาย ต่างกันที่คุณค่าของการตาย บ้างหนักกว่าขุนเขา บ้างเบากว่าขนนก การตายของชีวิตที่อุทิศเพื่อชาติและประชาชนมีคุณค่าหนักกว่าขุนเขาฉะนี้ จึงเขียนบทความนี้ไว้เป็นอนุสรณ์แห่งชีวิต

‘ภราดร’ชงครม.เยียวยาน้ำท่วมเพิ่ม จ่ายรายเดือนเป็น‘4 ขั้นบันได’30-60-90-120 วัน
พลังศรัทธา! ‘หลวงตาบุญชื่น’ ปฏิเสธพักฟื้น รพ. ลุกเดินธุดงค์ทั้งที่มีภาวะเลือดจาง
‘ปชป.’ผุดแคมเปญ‘เปิดฟ้าใหม่ ไล่เมฆเทา’ เปิดข้อมูล‘อาชญากรรมข้ามชาติ’ ฟอกเงินโยง‘อดีต รมช.’
ส่องฟีดแบค!! หลัง 'เดอะมีน' พ้นสภาพพนักงาน 'อาร์ม OHANA'โพสต์เดือดทันที
มาสเตอร์ 'ลูกเกด เมทินี'รุกฆาต ขึ้นบัลลังก์ 'Master Chair'พลิกเกมเชือด WARRIOR 'หวาย กามิกาเซ่'

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี