พรรคเล็กๆ 10 กว่าพรรค ที่เข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐจัดตั้งรัฐบาล ส่งสัญญาณ “ชักเข้าชักออก” มาหลายรอบแล้ว โดยเฉพาะนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ นายดำรงค์ พิเดช และนายพิเชษฐ สถิรชวาล รายแรกประกาศเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” ไปแล้ว รายที่สองตั้งเงื่อนไขสามข้อ ว่าหากรัฐบาลทำเรื่องเหล่านั้นจะออกจากการร่วมรัฐบาล ขณะที่พิเชษฐ ยังอยู่ในอาการ“ชักเข้าชักออก” อยู่เหมือนเดิม
แม้เป็นแค่พรรคเล็กๆ แต่ในสภาพรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ 1 คน 2 คน ก็มีความหมาย และ “มีอำนาจต่อรอง” พรรคพลังประชารัฐจึงต้องส่ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปเป็น “กาวใจ” เป็น “ผู้ประสานงาน” กับพรรคเล็กๆ
กรณีพิเชษฐพูดล่าสุดว่า จะขอแยกตัวออกจากการร่วมรัฐบาลนั้น ร.อ.ธรรมนัส บอกว่า ตนได้พูดคุยกับนายพิเชษฐแล้ว ซึ่ง นายพิเชษฐ ยืนยันว่า ไม่ได้ขอแยกตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล และยังคงจุดยืนในการดำเนินงานกับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า
ส่วนประเด็นที่ นายพิเชษฐ ยังข้องใจ คือ สงสัยว่าทำไมการรวมตัวของกลุ่ม 10 พรรคเล็ก จึงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ดังนั้น จึงขอแยกออกจากกลุ่มเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการขอแยกออกจากพรรคร่วมรัฐบาลตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
ร.อ.ธรรมนัสยังได้กล่าวติดตลกว่า ตนเปรียบเหมือนเป็นคนเลี้ยงลิง จึงต้องเอากล้วยให้ลิงกินตลอดเวลา ขณะนี้เชื่อว่ากินจนอิ่มแล้วน่าจะพอได้แล้ว เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวนั้นไม่ต้องเคลียร์ เนื่องจากเป็นเรื่องที่อาจจะเข้าใจผิด เพราะนายพิเชษฐได้พูดคุยกับตนแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะแยกออกจากพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อไปเป็นฝ่ายค้านแต่อย่างใด
คำพูดติดตลกนี้เอง ที่กำลังสร้างปัญหา เพราะคนเพ่งมองไปที่พรรคเล็กๆ ว่าเป็นแค่ “ลิงหิวกล้วย” ธรรมนัส-ซึ่งพรรครัฐบาลส่งไปเป็นกาวใจ กลายเป็นคนไปแจกกล้วย และคนคนนี้เชื่อว่าลิงกินกล้วยอิ่มแล้ว น่าจะพอแล้ว
จะเข้าใจเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งขึ้น ต้องฟังนิทานเรื่อง “ฤๅษีเลี้ยงลิง” ครับ
กาลครั้งหนึ่ง… นานมาแล้ว มีฤๅษีตนหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าลึก ฤๅษีตนนี้ได้เลี้ยงลิงไว้ฝูงหนึ่ง ลิงซุกซนมากจนฤๅษีต้องเฆี่ยนตีอยู่เสมอ วันหนึ่งพระราชาเสด็จมานมัสการฤๅษี เห็นฤๅษีตีลิงก็รับสั่งว่า “ลิงซนตามธรรมชาติของมัน ไม่ควรต้องเฆี่ยนตี”
ฤๅษีก็รับคำว่าจะไม่ตีลิงอีกต่อไป แต่ทูลขอพระราชาให้งดลงอาญาราษฎรด้วย เมื่อไม่มีการลงอาญา คนร้ายก็กำเริบ ก่อความเดือดร้อนไปทั่ว ฤๅษีทูลพระราชาว่า “ผู้ที่ไม่อยู่ในระเบียบวินัย ย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อน จำเป็นต้องมีการลงโทษ” จึงเป็นที่ว่าของสำนวน “ฤๅษีเลี้ยงลิง” ซึ่งหมายถึง ผู้ที่ปกครองคนหมู่มากที่ขาดระเบียบวินัยซึ่งจะทำให้เกิดความเดือดร้อน
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนจากพรรคเล็กๆ ทนไม่ได้ที่จะเป็น “ลิง”
นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่กล่าวแสดงความไม่สบายใจต่อกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่าซึ่งได้รับมอบหมายจากพรรคพลังประชารัฐให้เป็นผู้ประสานงานกับพรรคเล็กที่ร่วมรัฐบาล ได้มีการเปรียบเทียบการทำงานร่วมกับพรรคการเมืองขนาดเล็กว่า เหมือนคนเลี้ยงลิงที่ต้องให้กินกล้วยตลอดเวลา เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ว่า พรรคการเมืองขนาดเล็กไม่ได้รับเกียรติในการทำงานร่วมกัน ทั้งนี้ ตลอดการทำงานร่วมกันที่ผ่านมา ตนเข้าใจดีว่า ร.อ.ธรรมนัส พยายามที่จะประสานเพื่อให้การทำงานมีความราบรื่นให้ได้มากที่สุด แต่การใช้คำพูดลักษณะนี้พลาดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงอยากให้ ร.อ.ธรรมนัสชี้แจงให้ชัดเจนในสิ่งที่ได้พูดไป เพื่อไม่ให้เกิดความกินแหนงแคลงใจในการทำงานร่วมกัน จนกลายเป็นรอยร้าวที่ยากจะประสาน
“ในทางกลับกันก็อยากจะขอร้องกลุ่ม 10 พรรค ให้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ แม้มีบางเรื่องที่อาจไม่ได้ดั่งใจทั้งหมด แต่ขอให้มองภาพรวม ยึดการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง จะทำให้ช่วยลดปัญหาระหว่างกันลงได้ และไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองขนาดเล็กเสียหายว่าเคลื่อนไหวเรียกร้องแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ส่วน ร.อ.ธรรมนัส ถ้าคิดว่าพลาดไปแล้วก็ควรยอมรับความผิดพลาดและกล่าวขอโทษ เพื่อยุติปัญหาไม่ให้มีการนำไปขยายผลจนกระทบต่อรัฐบาล” นพ.ระวี กล่าว
ต่อมา นายพิเชษฐ สถิรชวาล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธรรมไทย พร้อมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) แถลงการณ์มติถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล มีข้อหนึ่งที่พาดพิงถึง “ลิง” กับ “กล้วย” ด้วยว่า...“ในการให้สัมภาษณ์จากผู้ใหญ่บางท่านในรัฐบาลที่เกี่ยวกับคนเลี้ยงลิง โดยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลที่แท้จริง และการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวทำให้สังคมส่วนใหญ่มุ่งประเด็นของความเสื่อมเสียและความเสียหายตกมาที่พรรคประชาธรรมไทย หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย คณะกรรมการบริหารพรรคประชาธรรมไทย และสมาชิกพรรคประชาธรรมไทย โดยถ้วนหน้า
…มติที่ประชุมเป็นเอกฉันท์มีความเห็นตรงกันว่า เพื่อรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศ เกียรติภูมิ และศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของพรรคประชาธรรมไทย หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทยและกรรมการบริหารพรรค รวมถึงสมาชิกพรรคประชาธรรมไทยทุกท่าน จึงเห็นสมควรให้พรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธรรมไทย ทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนประเทศชาติผ่านทางสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น และจะไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ จากทางฝ่ายบริหารและขอถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา” แถลงการณ์ระบุ
ในเวลาเดียวกัน ร.อ.ธรรมนัส ก็ไม่ว่างที่จะมาเคลียร์เรื่องลิงเรื่องกล้วยได้เต็มที่นัก เพราะต้องร้องเพลง “โปรดอย่าถาม ว่าฉันเป็นใคร เมื่อในอดีต และโปรดอย่าถาม ว่าอดีตฉันเคยรักใคร” อยู่ เนื่องจากประวัติการถูกจำคุกที่ประเทศออสเตรเลีย ในคดีที่เกี่ยวพันกับยาเสพติด อันน่าจะเป็นเหตุให้ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้ถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งธรรมนัสกำลังตั้งรับในลักษณะ “จะฟ้องกลับ” พร้อมสำทับว่า “ชี้แจงไปหลายรอบแล้ว”
เช่นเดียวกับ “พระฤๅษี” ของธรรมนัส พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องคดีของ ร.อ.ธรรมนัสพรหมเผ่า ว่า จะไม่ขอพูด เพราะมีการชี้แจงไปแล้วหลายรอบ ไม่ใช่ว่าใครพูดอะไรมาก็จะมาถามนายกฯ แล้วเอาไปสานต่อมันก็ไม่จบสักที อะไรที่ชี้แจงไปแล้วก็ถือว่าจบตนจะไม่ขออะไรในเรื่องเหล่านี้อีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดอย่างไรที่มีหลายคนมองว่ารัฐบาลนี้มีตำหนิ เพราะมีรัฐมนตรีที่มีคดีติดตัว ซึ่งแม้จะเคลียร์แล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่กลับมาโจมตีรัฐบาลได้อีก พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า
“ผมถามว่ารัฐบาลอื่นไม่มีหรือ ก็มีตำหนิกันทุกรัฐบาลนั่นแหละ เพียงแต่กฎหมายเขาเขียนไว้ว่าอย่างไร กระบวนการตรวจสอบ กระบวนการทางยุติธรรมยังไม่เสร็จสิ้นก็ต้องรอผลตรงนั้น และการเข้ามาทำหน้าที่ในวันนี้ก็มีขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะผิด ก็มีผลย้อนหลังไปทุกเรื่องนั่นแหละที่มันค้างคาอยู่ ไอ้คนที่ออกมาพูดก็ขอให้ย้อนกลับไปดูเสียบ้าง ว่า รัฐบาลที่ผ่านมามีปัญหาบ้างหรือเปล่า มันก็มีทุกคนนั่นแหละพอถึงเวลานั้นก็อ้างอย่างที่ผมอ้างเหมือนกัน พอถึงเวลาเขาตัดสินว่าผิด ก็บอกว่าไม่เป็นธรรมกับเขา แต่ผมไม่เคยทำอย่างนั้น”
ในอดีต พล.อ.ประยุทธ์ เคยตั้งคำถามให้ประชาชนไปตอบข้อหนึ่งว่า “วันนี้เราจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองใหม่ๆ หรือนักการเมืองหน้าใหม่ๆ ที่มีคุณภาพให้ประชาชนได้พิจารณาในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่? การที่มีแต่พรรคการเมืองเดิม นักการเมืองหน้าเดิมๆ แล้วได้เป็นรัฐบาล จะทำให้ประเทศชาติเกิดการปฏิรูป และทำงานอย่างต่อเนื่องตามยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่?”
ถึงเวลา พล.อ.ประยุทธ์ กลับใช้แต่นักการเมืองหน้าเดิมๆ และสีเทาๆ มีคุณสมบัติให้ถูกตั้งคำถามและครหาเสียเอง
สถานการณ์นี้ ทำให้นึกถึงนิทานอีกเรื่องหนึ่งคือ “ฤๅษีเลี้ยงเหี้ย”
มีฤๅษีตนหนึ่งบำเพ็ญพรตมาช้านานแล้ว แต่ไม่บรรลุธรรมใดๆ เพราะในใจยังฝังจมอยู่กับกิเลส โดยเฉพาะฤๅษีตนนี้ชอบกินไข่จระเข้บ้าง ชอบกินไข่นกบ้าง แต่ตนเองเป็นฤๅษี จะไปขโมยไข่จระเข้หรือไข่นกมากินก็เกรงผู้คนจะครหาว่าเป็นบาป
ในสมัยนั้นเหี้ยเป็นอาหารอันโอชะของสัตว์หลายอย่าง ทั้งสัตว์ด้วยกันและมนุษย์ด้วย เหี้ยจึงถูกล่าเป็นปกติ ก็คิดหาที่พึ่ง จึงเข้าไปพึ่งฤๅษี ในที่สุดก็ตกลงเงื่อนไขกันได้
คือฤๅษีจะปกป้องคุ้มครองเหี้ยไม่ให้ถูกคนหรือสัตว์อื่นล่า และจะเลี้ยงดูอุปการะเหี้ยไว้ให้กลายเป็นเหี้ยมีศีล เหมือนอย่างฤๅษีที่มีศีล แม้ว่าความจริงแล้วจะมีศีลแค่เปลือกนอกเท่านั้นก็ตาม ในขณะเดียวกัน เหี้ยก็มีหน้าที่ต้องไปขโมยไข่จระเข้ ขโมยไข่นกมาให้ฤๅษีกิน
ในที่สุดชาวบ้านก็ไม่พอใจเหี้ย เพราะนอกจากไปขโมยไข่จระเข้ ไข่นกไปกินเองและแบ่งให้ฤๅษีกินจนหมดแล้วก็ไม่พอ เหี้ยจึงไปขโมยไข่ไก่ของชาวบ้าน ชาวบ้านก็ไล่ทุบตี เหี้ยนั้นก็หนีมาหาฤๅษี ฤๅษีก็ปกป้องคุ้มครองเหี้ยไว้และบอกชาวบ้านว่า เหี้ยนี้เป็นเหี้ยมีศีล ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร การที่เหี้ยไปขโมยไข่ไก่ใบนี้มาก็เพราะไข่ไก่ใบนี้มีสิ่งอัปมงคลอยู่ จึงเป็นการขโมยไข่มาเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านต่างหาก แต่หลังจากนั้นชาวบ้านก็จับได้ว่าเหี้ยยังคงไปขโมยไข่ไก่อยู่นั่นเอง จึงพากันรุมตีเหี้ยตายแล้วเกลียดชังเหี้ยนับแต่นั้นมา
สนุกดีนะครับประเทศไทย เวลานี้ควรอ่านนิทานสองเรื่องนี้ซ้ำมาซ้ำไป และนั่งสบตากันอย่างมึนๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี