เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา นายจรูญ วรรณกสิณานนท์ และพวก ในนามกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน เดินทางเข้าไปที่กองบังคับการปราบปราม เพื่อถอนแจ้งความกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับภาพวาดพระพุทธรูปอุลตร้าแมน
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา เคยเข้าไปแจ้งความดำเนินคดี 5 คนประกอบด้วย นักศึกษาที่วาดภาพ, นายวีรยุทธ (ไม่ทราบนามสกุล) อาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษา, น.ส.ปพิชญา ณ นครพนม ผอ.ห้างเทอร์มินอล 21 โคราช, นายเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และ นายเดชา กิติวิทยานันท์
นายจรูญ อ้างว่า ทางกลุ่มได้ค้นหาข้อมูลจนพบสิ่งผิดปกติหลายอย่างเกี่ยวกับภาพดังกล่าวว่า มีลักษณะคล้ายซ่อนรหัสลับบางอย่างมากกว่าที่ภาพศิลปะปกติจะมี และยังเชื่อว่ามีการกระทำเป็นขบวนการ ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ให้เป็นหน้าที่ตำรวจดำเนินการ จึงได้ถอนแจ้งความผู้ไม่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นักศึกษาที่วาดภาพดังกล่าว, น.ส.ปพิชญา, นายเฉลิมชัย และ นายเดชา
1. ก่อนหน้าที่จะมีการไปถอนแจ้งความ อาจารย์ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ได้โพสต์เฟซบุ๊ค Chuchart Srisaeng แสดงความคิดเห็นต่อการที่มีบุคคลไปแจ้งความที่กองปราบฯนั้นว่า
“.....ข่าวนักศึกษาหญิงคนหนึ่งวาดรูปพระพุทธในลักษณะผสมกับอุลตร้าแมน และได้มีการนำภาพไปแสดงที่ห้างสรรพสินค้า ต่อมาผู้คนในสังคมออกมาตำหนิว่าเป็นกระทำที่ไม่เหมาะสม อาจารย์ของนักศึกษาได้พานักศึกษาไปพบเจ้าท่านเจ้าคณะจังหวัดกราบขออภัยในการกระทำดังกล่าวเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์โดยไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่อย่างใด
.....เรื่องควรจะยุติเพียงเท่านี้ แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งไม่ยอมจบ พากันไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีแก่นักศึกษาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206 และให้ดำเนินคดีแก่บุคคลอื่นอีกหลายคนว่า ร่วมกระทำความผิดตามมาตรา 83 ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดโดยการใช้ ยุยงส่งเสริมตามมาตรา 84 และสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามมาตรา 86 ด้วย
.....มาตรา 206 ผู้ใดกระทําด้วยประการใดๆ แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนหมื่นสี่หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
.....การกระทำที่เป็นความผิดตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทำด้วยประการใดๆ แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของชนหมู่ใด เช่น กระทำแก่พระพุทธรูป รูปปั้นของพระอริยสงฆ์ โบสถ์ วิหาร ซึ่งเป็นวัตถุและสถานที่อันเป็นเคารพของพุทธศาสนิกชน หรือวัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพของประชาชนผู้นับถือศาสนาคริสต์หรือศาสนาอิสลาม เป็นต้น
.....องค์ประกอบความผิดที่สำคัญของมาตรานี้คือต้องเป็นการกระทำที่เป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น เช่น นำเอาสิ่งปฏิกูลไปราดรดพระพุทธรูป หรือรูปปั้นพระเยซู เป็นต้น
.....แต่การกระทำของนักศึกษาคนนี้เป็นการนำเอาวัสดุซึ่งเป็นกระดาษหรือผ้าหรืออย่างอื่นซึ่งไม่ทราบแน่ชัดที่เป็นวัสดุเปล่าๆ ไม่มีรูปอะไรเลยมาวาดเป็นรูปพระพุทธรูปอุลตร้าแมน วัสดุที่นำมาใช้วาดจึงไม่ใช่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของชนหมู่ใด
.....นอกจากนี้ การกระทำของนักศึกษาดังกล่าวเป็นการกระทำด้วยความเคารพนับถือโดยมีจินตนาการไปในทางที่ยกย่องสรรเสริญองค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้มีพฤติการณ์ใดว่ามีเจตนากระทำเพื่อเหยียดหยามพระพุทธศาสนา
.....การกระทำของนักศึกษาคนนี้จึงไม่มีความผิด ตามมาตรา 206
.....ส่วนบุคคลอื่นๆ ข้อหาร่วมกระทำความผิดตาม 83 ต้องร่วมกระทำในขณะมีการกระทำความผิด การก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามมาตรา 84ผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดต้องกระทำก่อนมีการกระทำความผิดและการสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามมาตรา 86 ผู้ให้การสนับสนุนต้องให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำความผิดก่อนหรือในขณะกระทำความผิด
.....แต่ตามข้อเท็จจริงที่เป็นข่าว บุคคลที่ถูกแจ้งความให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีเป็นผู้ที่มาเกี่ยวข้องหรือแสดงความคิดเห็นหลังจากมีการนำภาพไปแสดงแล้ว จึงไม่ได้มีส่วนร่วมกระทำในการวาดภาพ ไม่ได้ก่อหรือยุยง ส่งเสริมให้นักศึกษาวาดภาพ และไม่ได้ให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นักศึกษาในการวาดภาพ
.....ดังนั้น แม้หากว่าการกระทำของนักศึกษาคนนี้มีความผิด บุคคลอื่นๆ ก็ไม่มีความผิด ยิ่งเมื่อการกระทำของนักศึกษาไม่มีความผิดดังกล่าวมาแล้ว บุคคลอื่นๆ จึงจะมีความผิดไม่ได้เลย
.....กลุ่มบุคคลที่ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีแก่นักศึกษาและบุคคลอื่นๆ นั้น ควรจะสังวรณ์ไว้บ้างว่า การแจ้งความดังกล่าวอาจมีความผิดฐานแจ้งความเท็จเพื่อให้บุคคลต้องได้รับโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172,173 และ 174 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน100,000 บาท ได้”
2. จากการติดตามข่าวสารบ้านเมืองในระยะหลัง จะเห็นว่า มีคนจำนวนหนึ่ง ใช้เอาการแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน หรือการยื่นคำร้องต่อเจ้าหน้าที่องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อเล่นงานคนอื่นบ่อยครั้ง
ผลพลอยได้ คือ ได้อยู่ในพื้นที่สื่อ
จริงอยู่ หากเป็นกรณีที่มีมูลความจริง มีหลักฐานพอสมควรแก่เหตุก็ย่อมเป็นสิทธิอันชอบตามกฎหมาย
แต่บางคน ทำบ่อยๆ เป็นกิจวัตร จนถูกเรียกว่าเป็น “นักร้อง”
เรื่องบางเรื่อง ไม่น่าร้อง ก็ร้อง
คนบางคน ไม่ควรถูกแจ้งความ ก็ถูกแจ้งความ ทำให้ได้รับผลกระทบ เดือดร้อน มีภาระต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาล เพื่อชี้แจงแก้ต่าง
อย่าลืมว่า หลักสำคัญของการไปฟ้องต่อศาล หรือไปแจ้งความก็ดีจะต้องไปด้วย “มือสะอาด”
ความหมายคือ มิใช่เพื่อกลั่นแกล้งเล่นงานผู้อื่น หรือสร้างเงื่อนไขเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองตามมา
3. เมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม ก็สมควรจะต้องคัดกรอง
มิใช่ใครมาร้อง ก็ดำเนินคดี ฟ้องร้อง สร้างภาระต่อผู้ถูกร้องไปเสียทั้งหมด
โดยเจ้าหน้าที่จะต้องถือหลักสุจริต มิใช่หน่วงเหนี่ยวเรื่อง แต่ว่าไปตามเนื้อผ้า สืบเสาะพิจารณาตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง ก่อนที่จะไปเรียกคนที่ถูกร้องเข้ามาสอบสวน เพราะนั่นจะเป็นภาระ และทำให้บรรลุผลของผู้ร้องทันที แม้บางกรณีจะร้องโดยไม่สุจริตก็ตาม
กรณีเกี่ยวข้องกับร้องโดยเหล่า “นักร้อง” ในทางการเมืองก็เช่นกัน
หากปล่อยให้ใครนึกอยากร้องก็ไปยื่นร้อง ให้ร้ายผู้อื่น แล้วก็แถลงข่าวให้ร้าย โจมตี ดิสเครดิตผู้อื่น สร้างความสับสนในสังคม ก่อให้เกิดการขยายต่อซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จต่อไปในวงกว้าง จะเกิดผลเสียร้ายแรง และเป็นแนวทางให้กระทำกันไปมา วุ่นวายไม่รู้จบสิ้น และจะนำไปสู่การใช้เป็นเชื้อปลุกปั่นปลุกระดมให้ร้ายกันต่อไป
6. ยิ่งไปกว่านั้น ควรจะได้มีการตรวจสอบ และดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่มีพฤติกรรมเข้าข่าย “แจ้งความเท็จ หรือ “ฟ้องเท็จ” อย่างจริงจัง
ยกตัวอย่าง กรณีคนดังเคยถูกดำเนินคดีฐานแจ้งเท็จต่อ กกต. แล้วศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก
กรณีเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2561 ศาลแขวงดอนเมือง อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.812/2559 ที่ นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ฟ้องนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ จำเลยที่ 1 และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จำเลยที่ 2 ในข้อหาแจ้งความเท็จ ให้พนักงานจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ และหมิ่นประมาท
ศาลพิพากษาให้นายเรืองไกร มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และ 267 ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ และให้เจ้าพนักงานจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุด ฐานให้เจ้าพนักงานจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ จำคุก 1 ปี แต่ทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน ไม่รอการลงโทษ (ขณะนี้ คดีอยู่ในชั้นอุทธรณ์)
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี