เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2562 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวโจมตีโครงการ “ชิมช้อปใช้” โดยอ้างว่า ร้านค้ารายย่อยไม่มีโอกาสที่จะได้รับผลดีจากมาตรการนี้ เมื่อร้านค้ารายย่อยซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานรากไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ จึงไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะเท่าที่เห็น เงินกลับไปที่ร้านสะดวกซื้อของเจ้าสัว กลับไปที่อีหรอบเดิม คือ แจกเงินคนจนไปเข้ากระเป๋าคนรวย ดังนั้น ขอให้รัฐบาลทบทวนและหามาตรการที่ชาญฉลาด ที่แจกเงินไปถึงมือคนจนแล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เกิดกำลังซื้อได้จริง และกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
1. โครงการชิมช้อปใช้ กลุ่มเป้าหมายไม่ใช่คนจน
กลุ่มคนจน หรือคนมีรายได้น้อย มีโครงการที่ช่วยเหลือโดยตรง คือ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ”
ส่วนโครงการชิมช้อปใช้ เน้นให้เกิดการออกไปจับจ่ายใช้สอยในช่วงเวลา ต.ค.-พ.ย. เป็นสำคัญ
เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจมหภาค ด้วยกำลังซื้อที่ได้รับแรงจูงใจจากโครงการนี้
2. เงินในโครงการชิมช้อปใช้ ส่วนใหญ่ไหลไปร้านสะดวกซื้อของเจ้าสัวจริงหรือไม่?
จากข้อมูลรายละเอียดที่เปิดเผยโดยนายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง มีข้อเท็จจริงและสังเกต ดังนี้
2.1 ช่วง 10 วันแรก มีผู้ลงทะเบียนรับสิทธิ์มาตรการ “ชิมช้อปใช้” เต็มตามโควตา 1 ล้านรายทุกวัน โดยมีผู้ลงทะเบียนไม่ผ่านวันละประมาณ 2 แสนราย ซึ่งระบบจะเปิดให้ลงทะเบียนต่อเนื่องจนกว่าจะครบ 10 ล้านราย
สะท้อนว่า ประชาชนตอบรับอย่างดีมาก
2.2 การตรวจสอบสิทธิ์ผู้ลงทะเบียน 7 วันแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์5,538,368 ราย
มีผู้เข้ายืนยันตัวตนในแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” แล้ว 3,902,443 ราย โดยยืนยันตัวตนสำเร็จ 2,719,267 ราย และมีผู้ที่ยังไม่ได้ติดตั้งแอพพลิเคชั่น 821,149 ราย
สะท้อนว่า ประชาชนที่สนใจ ยังมีโอกาสลงทะเบียนได้อีก แม้จะผ่านไป 10 วันแล้ว เพราะยังเก็บตกคนที่ลงทะเบียนหรือดำเนินการไม่ผ่าน
2.3 ประเด็นสำคัญว่า เงินไหลไปไหน?
ในการใช้จ่าย 5 วันแรก มีผู้ใช้สิทธิ์จำนวน 706,450 ราย
มีการใช้จ่ายรวมประมาณ 628 ล้านบาท
เป็นการใช้จ่าย G-Wallet ช่อง 1 (เงิน 1 พันบาท) ประมาณ 621 ล้านบาท
แยกเป็นการใช้จ่ายที่ร้าน “ช้อป” ที่เป็นร้านในกลุ่ม OTOPร้านวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งร้านธงฟ้าประชารัฐกว่าร้อยละ 50 หรือประมาณ 330 ล้านบาท
ส่วนร้าน “ชิม” หรือร้านอาหารและเครื่องดื่ม มียอดใช้จ่ายประมาณ 98 ล้านบาท
ร้าน “ใช้” เช่น โรงแรม โฮมสเตย์ เป็นต้น มียอดใช้จ่ายประมาณ 10 ล้านบาท
และร้านค้าทั่วไป มียอดใช้จ่ายประมาณ 183 ล้านบาท ในส่วนนี้ ตรวจสอบพบว่า มีการใช้จ่ายในร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขาประมาณ 142 ล้านบาทหรือเพียงร้อยละ 22 ของยอดใช้จ่ายทั้งหมด
สะท้อนว่า เงินส่วนใหญ่ไม่ได้ไหลไปร้านค้าเจ้าสัว เหมือนอย่างที่นักการเมืองบางคนมโนเอาเอง เพื่อใส่ร้าย สร้างความสับสนในสังคมอย่างไร้ความรับผิดชอบ
2.4 สำหรับการใช้จ่าย G-Wallet ช่อง 2 (ผู้ร่วมโครงการเติมเงินเข้าไปเอง) มีผู้ใช้สิทธิ์แล้วจำนวน 2,962 ราย
มียอดใช้จ่ายประมาณ 7.5 ล้านบาท
หรือเฉลี่ยรายละประมาณ 2,532 บาท
โดยเป็นการใช้จ่ายที่ร้าน “ช้อป” ประมาณ 5 ล้านบาท
ส่วนร้าน “ชิม” และร้าน “ใช้” มียอดใช้จ่ายใกล้เคียงกันที่ประมาณ 1 ล้านบาท
สะท้อนว่า ผู้เติมเงินเข้าไปเอง เพื่อหวังแคชแบ๊กจูงใจ ยังใช้จ่ายน้อยอยู่ อาจจะต้องรอวันหยุดครั้งต่อไป น่าจะเห็นที่คนกลุ่มนี้ไปจับจ่ายใช้สอยชัดเจนขึ้น
2.5 เมื่อพิจารณาจากจังหวัดที่มีการใช้จ่ายมากที่สุด พบว่า 10 อันดับแรก ได้แก่
(1) กรุงเทพฯ ประมาณ 87 ล้านบาท
(2) ชลบุรี ประมาณ 48 ล้านบาท
(3) สมุทรปราการ ประมาณ 29 ล้านบาท
(4) ระยอง ประมาณ 20 ล้านบาท
(5) ปทุมธานี ประมาณ 20 ล้านบาท
(6) พระนครศรีอยุธยา ประมาณ 19 ล้านบาท
(7) ลำพูน ประมาณ 18 ล้านบาท
(8) เชียงใหม่ ประมาณ 17 ล้านบาท
(9) นครปฐม ประมาณ 17 ล้านบาท
และ (10) นนทบุรี ประมาณ 15 ล้านบาท
2.6 กลุ่มที่มีการใช้จ่ายมากที่สุด คือ ช่วงอายุ 22-30 ปี ประมาณร้อยละ 35
รองลงมาคือช่วงอายุ 31-40 ปี ประมาณร้อยละ 30
จะเห็นว่า กว่าครึ่งหนึ่ง เป็นคนอายุต่ำกว่า 40 ปี
นี่คือกลุ่มคนที่อยู่ในวัยทำงาน
เท่ากับว่า รัฐได้ดึงคนกลุ่มนี้เข้ามาสู่ฐานการใช้เงินผ่าน G-wallet และแอพเป๋าตัง ซึ่งสามารถจะทำโครงการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การพัฒนาอาชีพ หรืออื่นๆ ต่อยอดไปได้อีกในอนาคต
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อุตตมะ สาวนายน อธิบายเพิ่มเติมว่า เป้าหมายของโครงการนี้ คือ การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และเน้นไปที่เศรษฐกิจฐานราก ซึ่งจะเกิดประโยชน์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
“...อธิบายง่ายๆ ให้เห็นภาพ เช่น ซื้อไอศกรีม 1 ถ้วย หมายถึง พ่อค้าได้รับเงิน พ่อค้าก็เอาเงินไปซื้อวัตถุดิบ ครีม เนย หรือผลไม้ มาเป็นวัตถุดิบขายต่อ ผู้ผลิตครีมเนย ก็ได้ขายวัตถุดิบ เงินหมุนไปเป็นค่าแรงคนงาน หรือผลไม้ ชาวสวนก็ได้รับเม็ดเงิน ฯลฯ
ทุกท่านคงเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า การกระตุ้นการบริโภคก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนอย่างไร และที่สำคัญโครงการแบบนี้ ส่งผลด้านจิตวิทยา เกิดความคึกคักในการจับจ่ายใช้สอย ผมเชื่อว่าเงิน 1,000 บาทต่อคน ที่ได้รับไป จะมีจำนวนไม่น้อยที่จ่ายเพิ่มเติมอีกมาก เม็ดเงินจะสะพัดเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
สำหรับผลที่ได้ในมาตรการนี้ ถือว่าประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี แม้จะมีปัญหาเชิงเทคนิคและการเรียนรู้ของผู้รับสิทธิ์บ้างเล็กๆน้อยๆ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้พยายามชี้แจง ปรับปรุง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ร่วมโครงการทั้งผู้ใช้สิทธิ์และร้านค้า อย่างเต็มที่
…อย่างไรก็ตามมาตรการในระยะแรกนี้ ยังคงเปิดใช้จนถึงวันที่ 30 พ.ย.2562โดยพี่น้องประชาชนที่ลงทะเบียน หากเงิน 1,000 บาท ในแอพฯ “เป๋าตัง” หมดแล้ว ยังสามารถเติมเงินในกระเป๋า 2 หรือ G-Wallet เพื่อใช้สิทธิ์ รับเงินคืน (Cash Back) 15% ของยอดเงินที่เติมและใช้จ่ายในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการผ่านแอพฯ ได้อีก เช่น เติมเงินจ่ายสินค้าและบริการ 1,000 บาท จะได้รับเงินคืน 150 บาท เป็นต้น โดยสามารถรับเงินคืนสูงสุด 4,500 บาท หรือจากยอดใช้จ่าย 30,000 บาท…”
4. จนถึงวันนี้ ยังไม่ปรากฏว่า ฝ่ายค้านที่พยายามอ้างว่า จำเป็นจะต้องแก้รัฐธรรมนูญ จึงจะแก้ปัญหาปากท้องประชาชนได้สำเร็จนั้น ยังไม่เคยนำเสนอโครงการตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ว่าโครงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอะไรที่ตนคิดว่าควรจะทำเพื่อประชาชน แล้วไม่สามารถทำได้ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้
ตรงกันข้าม มีแต่การพยายามใส่ร้ายโจมตีด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ เพียงเพื่อดิสเครดิตความพยายามที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี