ขณะนี้ ดูเหมือนมีความพยายามยุยงปลุกปั่นจากฝ่ายการเมือง เพื่อให้ผู้คน ไม่เคารพยำเกรงกฎหมาย
จะด่า จะว่า จะใส่ร้าย จะป้อนข้อมูลเท็จแก่บุคคล สถาบัน องค์กรใด ก็มีคนบางกลุ่มให้ท้าย ตามด้วยการโจมตีบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันยุติธรรมของประเทศ
คดีล่าสุด ที่นักการเมืองและนักวิชาการถูกแจ้งความดำเนินคดี ม.116 กรณีขึ้นอภิปรายบนเวทีแก้รัฐธรรมนูญ สืบเนื่องจากให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ปัญหาไฟใต้บางประการที่บิดเบือน (เวทีจัดที่จังหวัดปัตตานี ท่ามกลางประชาชนในพื้นที่) แล้วยังยุยงส่งเสริมให้มีการแก้รัฐธรรมนูญในทำนองว่า “ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีรัฐเดี่ยว หรือแบบรวมศูนย์ ซึ่งอาจจะรวมถึงมาตราที่ 1 ด้วยก็ได้”
ก็ปรากฏว่า มีนักกฎหมายใหญ่พยายามจะออกมาชี้นำ กางปีกป้อง ทำนองว่า แจ้งความไป อัยการก็ไม่ฟ้อง ฟ้องไปศาลก็ยกฟ้อง ทำให้บรรดาลิ่วล้อจำนวนหนึ่งหลงเชื่อตามไปว่า ใครพูดอะไรแค่ไหน แสดงออกในทางการสื่อสารอย่างไร ก็ไม่มีผิดมาตรา 116
ความจริง พึงสังวรว่า เคยมีการดำเนินคดี และพิพากษาความผิดเกี่ยวกับมาตรา 116 มาแล้วหลายคดี
ผู้ถูกดำเนินคดีและถูกลงโทษ ได้รับผลกรรม เดือดร้อน ต่างกันไป
ยกตัวอย่าง คดีเกี่ยวกับป้ายผ้า “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กู ขอแยกเป็นประเทศล้านนา”
1.ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ขณะนั้น มีการชุมนุมของ กปปส. ถูกโจมตีด้วยคนชั่ว ใช้อาวุธสงครามลอบยิง ลอบฆ่า ไม่เว้นแต่ละวัน โดยที่ฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถให้การดูแลความปลอดภัยของผู้ชุมนุมได้ แถมยังพยายามสลายการชุมนุม
แต่การชุมนุมของ กปปส. เป็นการชุมนุมที่สงบปราศจากอาวุธ ไม่มีการปลุกระดมให้เอาขวดแก้วเติมน้ำมันล้านลิตรมาทำให้กรุงเทพฯเป็นทะเลเพลิง ไม่มีการประกาศว่ามีแก้วสามประการครบแล้ว ไม่มีการยุยงปลุกปั่นให้คนไปเผาทำลายสถานที่ราชการ ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ เป็นการใช้สิทธิชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ(ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไว้) ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงไม่สามารถใช้อำนาจสลายการชุมนุมตามกฎหมายในขณะนั้นได้
2.ช่วงต้นปี 2557 มีผู้พบป้ายไวนิลเขียนข้อความ “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กู ขอแยกประเทศล้านนา” ติดอยู่ที่บริเวณสะพานลอย หลายพื้นที่ทางภาคเหนือ เช่น ที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย, อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย,อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
โดยป้ายผ้าดังกล่าวปรากฏขึ้น หลังศาลมีคำสั่งในทางคุ้มครองสิทธิการชุมนุมของ กปปส. ทำให้ฝ่ายรัฐบาลและผู้สนับสนุนฝ่ายรัฐบาลไม่พอใจมาก
ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับกรณีดังกล่าว แต่ก็ไม่สามารถจับกุมใครได้
กระทั่งหลังรัฐประหาร รัฐบาลยิ่งลักษณ์พ้นอำนาจไปแล้ว ในเดือนมิถุนายน เจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ต้องสงสัย ซึ่งเป็นมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ สนับสนุน นปช.
และได้ดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา มาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น แบ่งแยกประเทศ กระทำให้ปรากฏด้วยภาพตัวหนังสือหรือวิธีการอื่นที่ไม่ใช่ความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนละเมิดกฎหมายหรือก่อความวุ่นวาย
3.คดีในชั้นศาลจังหวัดเชียงราย จำเลยให้การปฏิเสธ
อ้างว่าที่ไปปรากฏอยู่ในที่เกิดเหตุและช่วยติดป้าย ตรงจุดสะพานลอยหน้าห้างเซ็นทรัล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายนั้น พวกตนไม่ได้เป็นผู้นำป้ายมา และไม่มีส่วนรู้เห็น เพียงแต่ระหว่างเดินผ่านที่เกิดเหตุถูกเรียกให้ช่วยติดป้าย จึงได้เข้าไปช่วย
อ้างว่า ไม่ทราบว่ามีข้อความอะไรเขียนบนป้ายดังกล่าว
อ้างว่า ในวันนั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาที่จังหวัดเชียงราย มีคนเสื้อแดงติดตามมาให้กำลังใจจำนวนมาก ทั้งสามก็เดินทางไปให้กำลังใจด้วย หลังจากไปให้กำลังใจยิ่งลักษณ์เสร็จก็มาห้างเซ็นทรัลและเดินข้ามสะพานลอยไปที่ห้างบิ๊กซี บนสะพานลอยมีกลุ่มคนกำลังติดป้ายไวนิลและเรียกให้ทั้งสามช่วยผูกจึงได้เข้าไปช่วยแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน เพราะเห็นว่าเป็นคนเสื้อแดงเหมือนกัน
4.กระทั่ง 22 ก.ค. 2558 ศาลจังหวัดเชียงรายอ่านคำพิพากษา
ศาลได้อ่านคำพิพากษาโดยสรุป พิจารณาในสามประเด็นหลัก ได้แก่
มีการติดป้ายข้อความตามฟ้องจริงหรือไม่?
ศาลรับฟังจากพยานหลักฐานของโจทก์เห็นว่าได้มีการนำแผ่นป้ายไปติดที่สะพานลอยที่เกิดเหตุจริง โดยมีภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดที่ระบุวันเวลาไว้ และปรากฏภาพบุคคล 6 คนนำแผ่นป้ายไปติด
ศาลพิจารณาต่อว่า จำเลยทั้งสามเป็นหนึ่งใน 6 บุคคลตามภาพหรือไม่?
เห็นว่าจากภาพจากกล้องวงจรปิดที่พนักงานสอบสวนจัดทำเป็นภาพนิ่ง มีใบหน้าตรงกับจำเลยทั้งสาม ทั้งได้มีผู้ใหญ่บ้านของจำเลยมาเบิกความยืนยันภาพว่าเป็นจำเลยทั้งสามจริง
ประเด็นสุดท้าย ศาลพิจารณาว่าข้อความตามป้ายมีความผิดตามมาตรา 116 หรือไม่?
ศาลพิเคราะห์ว่า การนำสืบของจำเลยเจือสมกับโจทก์ เรื่องที่สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงเวลาเกิดเหตุ มีความแตกแยกในหมู่ประชาชน มีการจัดตั้งกลุ่มการเมืองต่างๆ ป้ายข้อความดังกล่าวจึงอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ข้ออ้างที่ว่าไม่มีความยุติธรรมต่อกลุ่มการเมืองของจำเลยทั้งสามเป็นการคิดเอาเองฝ่ายเดียว
ถ้อยคำ “ขอแยกเป็นประเทศล้านนา” มีความหมายว่าไม่ยอมรับการยกคำร้องของศาลอาญาในการขอออกหมายจับแกนนำกลุ่มกปปส.ในช่วงนั้น เป็นการปฏิเสธอำนาจของศาลอาญาที่มีกฎหมายให้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ไว้ มิใช่เพื่อแสดงความเห็นหรือติชมโดยสุจริต จึงมีเจตนาทำให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร
ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสาม มีความผิดตาม ม.116 ให้จำคุกคนละ 4 ปี
แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง จึงให้ลดโทษ 1 ใน 4 เหลือจำคุก 3 ปี และจำเลยทั้งสามไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้ 5 ปี
คดีนี้ถึงที่สุดแล้ว เนื่องจากไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์
5.ขณะเดียวกัน ก็มีการดำเนินคดีกับกรณีติดป้ายผ้าข้อความลักษณะเดียวกัน ตามจุดอื่นด้วย ได้แก่ ป้ายผ้าที่อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย, ป้ายผ้าที่อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ที่มีผู้พบเห็นในวันที่ 1 มีนาคม 2557
โดยจำเลยที่ถูกดำเนินคดีเป็นบุคคลชุดเดียวกัน
แต่คดีป้ายผ้าที่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย และ อ.เมือง จ.พะเยา สุดท้าย ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง เพราะไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้ก่อเหตุ หรืออยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ในวันและเวลาเกิดเหตุจริง รวมทั้งไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของหรือครอบครองแผ่นป้ายไวนิลที่มีลักษณะเดียวกับแผ่นป้ายของกลาง มีเพียงแต่พยานหลักฐานที่ระบุว่าจำเลยทั้งสามถูกพิพากษาว่ามีความผิดในคดีที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายและข้อสันนิษฐานว่าผู้ก่อเหตุคดีที่จังหวัดพะเยาน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับผู้ก่อเหตุคดีที่จังหวัดเชียงราย
ศาลยกฟ้อง แต่ให้ริบแผ่นป้ายไว้ เพราะเป็นของกลางที่ถูกใช้ในการกระทำความผิด
6.พูดง่ายๆ คือ การติดป้ายด้วยข้อความแบบนั้น “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กู ขอแยกเป็นประเทศล้านนา”
ในช่วงเวลาที่กำลังมีสถานการณ์การเมืองความขัดแย้ง เข้าข่ายยุยงปลุกปั่น ม.116 แน่นอน
เป็นความผิดแน่นอน ดังที่ศาลจังหวัดเชียงรายพิพากษาคดีถึงที่สุดไปแล้วหนึ่งคดี
แต่เหตุที่ที่จำเลยกลุ่มเดียวกันรอดพ้นในกรณีป้ายตามสถานที่อื่น ก็เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่า เป็นคนไปติดป้ายเท่านั้นเอง
ที่น่ารังเกียจ คือ คนบางกลุ่ม พยายามบิดเบือน อ้างว่า คดีป้าย “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กู ขอแยกเป็นประเทศล้านนา” นั้น ศาลยกฟ้องไปหมดแล้ว เพื่อจะปลุกระดม ปลุกปั่นให้เกิดความฮึกเหิม ไม่ยำเกรงหากจะกระทำการเช่นนั้นอีก ทั้งๆ ที่ คดีที่ศาลยกฟ้องไปนั้น เป็นเพราะไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นหนาเพียงพอว่าใครติดเท่านั้นเอง
ถ้าแน่จริง ควรให้หัวหน้าพรรคการเมือง เลขาพรรคการเมือง หรือตัวนักการเมือง หรือแกนนำผู้ชุมนุม ระดับใหญ่ๆ ลองเอาป้ายไปติดด้วยตนเอง แล้วเซลฟี่เก็บหลักฐานมาด้วย
รวมไปถึงการพูดจาหมิ่นเหม่ ยุยงปลุกปั่นใดๆ ก็ตาม ต่อจากนี้ไป ประชาชนที่ฉลาดพอ ควรจะจี้ให้ผู้นำการเคลื่อนไหวกระทำการด้วยตนเองเสียก่อน เพราะเวลาต้องติดคุกหรือถูกดำเนินคดี ก็จะไม่มีใครดูดำดูดี เหมือนที่แนวร่วม นปช.ที่เคยเผาศาลากลางถูกลอยแพนั่นเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี