ภาพการเลือกตั้งใหญ่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเกือบ 7 เดือน มาถึงตอนนี้ข่าวคราวการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เริ่มรัวถี่ขึ้น แม้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ จริงอาจจะเป็นปลายปีนี้ หรืออาจถึงต้นปีหน้าก็ตาม แต่ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็ออกมาทดสอบความนิยมของผู้ที่อาจถูกเลือกเป็นผู้สมัครแต่ละค่าย ซึ่งต้องยอมรับว่าครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งก่อนๆ หรือ 2-3 ครั้งที่ผ่านมา ที่มีคู่แข่งเพียง 2 พรรคอีกต่อไป
แม้ว่าจะยังไม่มีกำหนดการวันเลือกตั้งชัดเจน แต่หลายฝ่ายก็เชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นอย่างช้าในปีหน้านี้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีฝ่ายใดหงายไพ่ เผยชื่อผู้สมัครที่แท้จริงของพรรคตัวเอง เพราะการเมืองแบบ 2 ขั้วครั้งนี้ มีองค์ประกอบอย่างน้อย 4 พรรคใหญ่ ที่นอกจากจะวัดเสียงว่าฝั่งใดมากกว่ากันแล้ว อาจต้องเลือกเอาผู้แทนที่เป็นที่ 1 ในสายเท่านั้น เพื่อป้องกันการตัดคะแนนกันเอง อย่างไรก็ตาม หากจับสัญญาณจากท่าทีล่าสุดของนายชัชชาติ ที่ออกมาประกาศจุดยืนด้วยตัวเอง ถึงการลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ ด้วยตัวเองในนามผู้สมัครอิสระ ก็อาจถือว่า เป็นคนแรกที่ประกาศจุดยืนแบบเปิดเผยแล้วว่าจะลงสมัคร ซึ่งก็น่าสนใจว่าการเคลื่อนไหวของนายชัชชาติ ที่ถือเป็น 1 ในตัวเก็งในสนามนี้จะส่งผลอย่างไรกับคู่แข่งจากพรรคอื่น หรือแม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยเองที่ถูกมองว่าแปรสภาพเป็น 1 ในคู่แข่งของนายชัชชาติไปโดยปริยายด้วยหรือไม่?
การเดินเกมของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ในนามอิสระครั้งนี้ หลายฝ่ายก็มองว่าเป็นกลยุทธ์ที่นายชัชชาติต้องการสลัดภาพความเป็นพรรคการเมืองออกจากตัวเอง เพื่อลบจุดอ่อนเรื่องการถูกครอบงำและถูกสั่งการจากผู้มีอำนาจนอกพรรคอย่างนายทักษิณ หรือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ใช่หรือไม่? เพราะในอดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หลายคนเคยถูกโจมตีในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งมาแล้ว ว่าเป็นสายตรงของนายทักษิณ ดังนั้น การที่นายชัชชาติที่ถือเป็นสายตรงของนางสาวยิ่งลักษณ์? เลือกที่จะลงเป็นตัวแทนอิสระก็เพื่อปิดจุดอ่อนดังกล่าวใช่หรือไม่?
ขณะเดียวกันการที่พรรคเพื่อไทยปล่อยให้นายชัชชาติ ที่ถือเป็นแคนดิเดตคนสำคัญหลุดมือไป น่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยน่าจะหนักใจไม่น้อย ว่าจะยอมหลีกทางไม่ส่งผู้สมัครลงนามพรรค เพื่อหลีกทางให้นายชัชชาติ หรือจะเล่นบทหักดิบส่งผู้สมัครลงแข่งขันด้วย ซึ่งก็มีตัวเลือกที่ปรากฏชื่อขึ้นคือคุณหญิงสุดารัตน์ ตามที่มีข่าวออกมา แต่อย่างไรก็ดีต้องอย่าลืมว่าฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ กทม. มีความทับซ้อนอยู่กับกระแสส่วนตัวของนายชัชชาติ
ดังนั้นการจะเลือกทางเลือกใดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน เพราะนั่นหมายถึงการชี้ชะตาพื้นที่การเมืองในกรุงเทพฯ ที่ถือเป็นฐานเสียงสำคัญในสนามการเมืองระดับประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ การออกตัวประกาศตัวสนับสนุนนายชัชชาติ ผ่านโลกโซเชียลของคนจากพรรคเพื่อไทยหลายคนไม่ว่าจะเป็นนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย หรือนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และที่น่าแปลกใจคือปรากฏชื่อของนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคด้วย ทั้งที่ตัวนายภูมิธรรมเองก็เป็นหนึ่งในสายตรงของนายทักษิณ? ซึ่งการประกาศตัวดังกล่าวทำให้ภาพของพรรคเพื่อไทยคล้ายจะแตกออกเป็น 2 ฝ่ายหรือไม่? คือฝ่ายที่สนับสนุนนายชัชชาติและไม่ต้องการให้พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครลงแข่งขัน กับฝ่ายที่ต้องการจะส่งผู้สมัครลงในนามพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจจะเป็นคุณหญิงสุดารัตน์หรือไม่ก็ตาม? ซึ่งไม่ว่าปัญหาจะจบลงเช่นไร แต่ที่ผ่านมาก็ต้องยอมรับว่าแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคนต่างก็ใส่เกียร์ว่าง ปล่อยให้คุณหญิงสุดารัตน์เดินเกมแต่เพียงคนเดียวมาสักระยะแล้ว? ซึ่งจะเป็นการตอกย้ำปัญหาที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่? คงต้องติดตามดูกันต่อไป
ในขณะที่พรรคเพื่อไทย อาจกำลังผจญกับปัญหาภายในที่ขัดแย้งกันอยู่ตอนนี้นั้น? พรรคอนาคตใหม่ ก็ยังไม่เปิดหน้าไพ่ว่าจะเอาผู้สมัครรายใดลงชิงชัย ทำให้ตัวเลือกที่ชื่อนายธนาธรก็ยังคงอยู่ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายฝ่าย และถือเป็นอีกหนึ่งตัวเก็งในครั้งนี้ ด้วยคะแนนเสียงโหวตจากคนกรุงเทพฯ สูงมากในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ประกอบกับนายธนาธรไม่สามารถจะเข้ามามีบทบาทในสภาฯ ได้ ซึ่งถ้าเทียบกระดานไปแล้วนายชัชชาติ ธนาธร และคุณหญิงสุดารัตน์ถือว่ามีโอกาสได้เป็นผู้ว่าฯ สูงพอๆ กันทั้ง 3 คน แต่ถ้าหากทั้ง 3 คนลงแข่งพร้อมกัน ย่อมมีผู้ชนะเพียงคนเดียวใช่หรือไม่?เพราะกลุ่มฐานเสียงของคนที่เลือกน่าจะเป็นกลุ่มโหวตเตอร์กลุ่มเดียวกัน
ฉะนั้นแล้วพรรคอนาคตใหม่ และเพื่อไทยควรจะต้องคุยกันให้ดีว่าพรรคใดจะส่งผู้สมัครลงสนามนี้ เพราะนอกจากจะเป็นการลงแข่งกับนายชัชชาติที่ใช้ฐานเสียงร่วมกันแล้ว ยังต้องเสี่ยงกับการแข่งกับพรรคซีกรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ด้วย ถ้าทั้งสองพรรคนี้สามารถตกลงกันได้ และส่งตัวแทนผู้สมัครเพียงหนึ่งเดียวลง ก็มีโอกาสสูงที่ตำแหน่งผู้ว่าฯ ในกทม.จะตกเป็นของฝ่ายรัฐบาล ด้วยคะแนนเสียงก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียวใช่หรือไม่? ในขณะที่คะแนนของคนกรุงเทพฯ ที่เลือก 7 พรรคฝ่ายค้านครั้งที่ผ่านมาแม้จะเป็นสัดส่วนที่มากกว่า แต่หากทั้ง 3 ฝ่ายส่งผู้สมัครลงจริง ก็ทำให้ต้องหารคะแนนกัน ซึ่งอาจส่งผลในทางตรงกันข้ามได้?
ทว่าพรรคพลังประชารัฐเองแม้จะเป็นพรรคใหญ่ แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะหาคนที่มาเป็นตัวจริง ที่จะสามารถมาดึงคะแนนเสียงได้ โดยก่อนหน้าแม้จะมีกระแสข่าวทาบทามนายณรงค์ศักดิ์ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยามาก่อน แต่สุดท้ายก็มีคุณสมบัติไม่ครบในการลงสมัคร ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นเพียงการโยนหินถามทางเท่านั้น เพราะยังมีการปล่อยกระแสข่าวมาอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็นนายศุภชัย พานิชภักดิ์ หรือนายกอบศักดิ์ ภูตระกูลหรือกระแสข่าวที่ว่าอาจจะเป็น ตูน บอดี้สแลม ที่จะลงผู้ว่าฯ กทม.หรือไม่? ซึ่งท้ายสุดหากพรรคพลังประชารัฐยังไม่สามารถหาผู้สมัครหน้าใหม่มาได้จริง ก็เชื่อกันว่าน่าจะเป็นนายสกลธีภัททิยกุล รองผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบัน ที่มีคุณสมบัติตรงตามที่พรรคพลังประชารัฐวางไว้ ในเรื่องของความสามารถในการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ และมีความคุ้นเคยเข้าใจระบบการทำงานใน กทม. เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือสามารถเป็นผู้ประสาน สก. สข.ได้ ซึ่งในเรื่องของ สก. สข. นี้ก็ถือเป็นประเด็นหลักอย่างหนึ่งที่พรรคพลังประชารัฐให้ความสำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้
แต่ก็ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในการเจรจากับพรรคร่วมอย่างพรรคประชาธิปัตย์ เพราะในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา สาเหตุที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งในกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งมาจากการเสียฐานเสียงของ สก. ดังนั้นแล้วในสถานการณ์ปัจจุบันที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการทวงคืนพื้นที่กทม. คงไม่สามารถปล่อยให้อีกฝ่ายมาคุมเกมได้ใช่หรือไม่?
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เอง ที่ถือเป็นพรรคซีกรัฐบาลอีกพรรคหนึ่ง ก็มีตัวเลือกอยู่หลายคนไม่ว่าจะเป็น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์, นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน, นายกรณ์ จาติกวณิชรวมถึงผู้สมัครหน้าใหม่แต่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วอย่างการที่เคยมีข่าวว่า มาดามแป้ง หรือนวลพรรณ ล่ำซำ อาจจะมาลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. หรือไม่? ซึ่งการที่พรรคประชาธิปัตย์ที่เคยเป็นแชมป์เก่ามาหลายสมัย กลับมีตัวเลือกที่ค่อนข้างมากเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเพราะต้องการแก้เกม จากกระแสของพรรคอื่นๆ ซึ่งถ้าหากถึงที่สุดต้องงัดไม้ตายจริงๆ หลายฝ่ายก็คาดการณ์กันว่าอาจอยากจะได้เห็นนายอภิสิทธิ์อดีตหัวหน้าพรรคลงแข่งขันหรือไม่? แม้จะมีบางฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะเป็นเช่นนั้น แต่หากนายอภิสิทธิ์ตัดสินใจลงจริง ก็เชื่อกันว่ามีโอกาสสูงที่พรรคประชาธิปัตย์จะคว้าชัยชนะในสนามการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
อย่างไรก็ตาม นอกจากตัวแทนที่ถูกจับตามองของพรรคใหญ่ ๆ ข้างต้นแล้ว ยังมีกระแสข่าวของนายธรรศพลฐ์แบเลเว็ลด์ หรือ โจ อดีต CEO สายการบินแอร์เอเชีย ที่เพิ่งเผยตัว ประกาศลงชิงตำแหน่งเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. แม้จะยังไม่มีข้อมูลว่านายธรรศพลฐ์ จะลงในนามอิสระหรือสังกัดพรรคการเมืองใด แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะลงในนามพรรคการเมืองใหม่ หลังมีกระแสข่าวถึงการเตรียมจัดตั้งพรรคการเมือง ร่วมกับแกนนำพรรคการเมืองชื่อดังจากหลายพรรค ซึ่งไม่ว่ากระแสข่าวดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่? ก็ถือเป็นการเปิดรูปแบบใหม่ๆ ของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพราะถือเป็นพรรคที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันของแกนนำจากขั้วอำนาจเดิมทั้งสองข้าง แต่กลับมารวมกันได้ ฉีกจากทฤษฎีเดิมๆ ที่ว่าประชาชนในกรุงเทพฯ มักจะเลือกผู้ว่าฯ ที่อยู่ตรงข้ามกับพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในเวลานั้น เพื่อถ่วงดุลอำนาจกันใช่หรือไม่?
“…เมื่อคิดเสพสุขอันหวานชื่นของความรัก ก็ต้องเตรียมใจสำหรับกล้ำกลืน
ความกลัดกลุ้มและปวดร้าวจากความรักด้วย…”
จากเรื่องเดียวดายใต้เงาจันทร์ โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี