หลังจากเกิดกรณีผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลจังหวัดยะลา พยายามฆ่าตัวตายโดยปรากฏในคำแถลงการณ์ที่จัดทำขึ้นในคดีนั้น สรุปความว่ามีคำสั่งลับให้องค์คณะผู้พิพากษาเปลี่ยนคำพิพากษาจากยกฟ้องปล่อยตัวจำเลย เป็นประหารชีวิตจำเลย 3 คน และจำคุกจำเลยอีก 2 คนแล้ว ก็มีการออกความเห็นในเรื่องนี้กันเป็นอันมาก
นักการเมืองสันหลังหวะที่เป็นฝักเป็นฝ่ายก็แบ่งค่ายกันกล่าวหาว่าร้ายกันอุตลุด จนไกลเลยเถิดออกไปจากเรื่องราวที่มีการพยายามฆ่าตัวตายในเรื่องนี้
ในขณะเดียวกันก็มีการออกความเห็นเกี่ยวกับการก้าวก่ายแทรกแซงการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีกับการทำความเห็นแย้งกันมากมายหลายสถานจนคนทั้งหลายพากันงุนงงสงสัยว่าอย่างไรกันแน่จึงยิ่งทำให้ปัญหาขยายวงออกไปมากขึ้น
ไม่มีสาระแก่นสารใดที่จะต้องกล่าวถึงนักการเมืองสันหลังหวะหรือโสเภณีการเมืองที่กำลังวุ่นวายด่าว่ากันไม่เป็นสรรพ แต่สมควรที่จะทำความเข้าใจเรื่องการก้าวก่ายแทรกแซงการพิจารณาพิพากษาคดีกับการทำความเห็นแย้ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลายในการที่จะรู้จักและทำความเข้าใจกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
กรณีเรื่องนี้ปมปัญหาอยู่ที่ว่ามีคำสั่งลับให้องค์คณะผู้พิพากษาเปลี่ยนคำพิพากษาจากยกฟ้องปล่อยตัวจำเลย เป็นให้ประหารชีวิตจำเลย 3 คน และจำคุกจำเลยอีก 2 คน จริงหรือไม่ และความเห็นแย้งกับการแทรกแซงการพิจารณาพิพากษาเป็นอย่างไร
ประเด็นเรื่องมีคำสั่งลับให้องค์คณะผู้พิพากษาเปลี่ยนคำตัดสินหรือไม่นั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากแถลงการณ์ของท่านผู้พิพากษาหัวหน้าคณะเพียงด้านเดียว ดังนั้นในปัญหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้จึงมิใช่เรื่องที่ใครจะออกความเห็นตามอำเภอใจ หากต้องรอผลการสอบสวนของคณะกรรมการตุลาการ ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้โดยตรง
ส่วนประเด็นเรื่องการแทรกแซงให้เปลี่ยนคำพิพากษาและการทำความเห็นแย้งนั้นเป็นเรื่องที่ควรจะได้ทำความเข้าใจกันเสียตั้งแต่ตอนนี้
ถ้าหากมีคำสั่งลับให้องค์คณะผู้พิพากษาเปลี่ยนคำพิพากษาจากยกฟ้องปล่อยตัวจำเลย เป็นประหารชีวิตและจำคุกตามที่ปรากฏในคำแถลงการณ์ ก็ต้องถือว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นและมีโทษทางอาญาด้วยไม่ต้องพูดถึงโทษทางวินัย เพราะการก้าวก่ายแทรกแซงอำนาจตุลาการนั้นเป็นเรื่องที่กระทำมิได้โดยเด็ดขาดแต่เรื่องนี้ต้องรอฟังผลการสอบสวนก่อนเช่นกัน
สำหรับเรื่องการทำความเห็นแย้งนั้นเป็นกระบวนพิจารณาชนิดหนึ่งที่มีบัญญัติไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งจะนำไปใช้ในการพิจารณาความเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่คดีส่วนแพ่งได้ตามที่กฎหมายบัญญัติด้วย
หลักการในเรื่องนี้สรุปความได้ว่า
ประการแรก ศาลเป็นสถาบันตุลาการที่ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ซึ่งศาลนี้มีสองความหมาย คือ หมายถึงอาคารศาลอย่างหนึ่งและผู้พิพากษาซึ่งทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาอรรถคดีอีกอย่างหนึ่ง ในประการนี้ย่อมหมายถึงผู้พิพากษา
ผู้พิพากษาจะมีฐานะเป็นศาลต่อเมื่อได้รับมอบหมายให้เป็นองค์คณะผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่ง คณะผู้ได้รับมอบหมายนั้นคือองค์คณะผู้พิพากษาที่มีฐานะเป็นศาลและเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ดังนั้นจึงต้องจำแนกความเป็นผู้พิพากษากับความเป็นศาลให้ชัดเจน เพราะผู้พิพากษาทุกคนไม่ใช่ศาลเสมอไป จะเป็นศาลได้ก็ต่อเมื่อได้รับมอบหมายเป็นองค์คณะผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเท่านั้น
ประการที่สอง การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีขององค์คณะผู้พิพากษากฎหมายให้ใช้เสียงข้างมาก ดังนั้นถ้าหากเสียงข้างน้อยไม่เห็นด้วยกับเสียงข้างมากก็มีทางปฏิบัติสองทาง คือยอมตามเสียงข้างมาก หรือทำความเห็นแย้ง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาและก่อให้เกิดสิทธิ์ในการอุทธรณ์ฎีกาแก่คู่ความต่อไป
การทำความเห็นแย้งนั้นต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงโดยแจ้งชัดว่าประเด็นใดในคำพิพากษาที่ไม่เห็นด้วยและมีความเห็นแย้งในประเด็นนั้นว่าอย่างไร แล้วลงชื่อไว้เป็นสำคัญ และนำความเห็นแย้งนั้นประกอบเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา นี่คือการทำความเห็นแย้งตามที่กฎหมายบัญญัติ
ประการที่สาม ในการบริหารกระบวนการยุติธรรมในกิจการของศาลนั้น สำหรับศาลชั้นต้นจะมีผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร และในระดับภาคจะมีอธิบดีผู้พิพากษาภาคเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ซึ่งปกติผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการจ่ายสำนวนหรือมอบหมายให้ผู้พิพากษาประกอบเข้าเป็นองค์คณะผู้พิพากษา
โดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลอาจเป็นองค์คณะพิพากษาด้วยก็ได้ ถ้าเป็นองค์คณะด้วยก็จะมีฐานะเป็นศาลผู้ใช้อำนาจตุลาการ และในการพิจารณาพิพากษาก็ต้องมีเสียงหนึ่งเสียง และต้องปฏิบัติตามเสียงข้างมากด้วย หากไม่เห็นด้วยก็มีอำนาจทำความเห็นแย้ง
ส่วนในระดับภาค อธิบดีผู้พิพากษาภาคไม่มีอำนาจหน้าที่ในการจ่ายสำนวน แต่มีอำนาจขอเป็นองค์คณะผู้พิพากษาได้หากคดีนั้นเป็นคดีสำคัญ และในกรณีเช่นนี้การพิพากษาคดีก็ต้องถือว่าอธิบดีผู้พิพากษาภาคมีเสียงหนึ่งเสียงที่ต้องปฏิบัติตามเสียงข้างมาก แต่ถ้าหากไม่เห็นด้วยก็มีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย
ทั้งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาภาคจะมีฐานะเป็นศาลก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามกระบวนการดังกล่าว ไม่มีอำนาจในการก้าวก่ายแทรกแซงความเป็นอิสระขององค์คณะผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี ซึ่งมีฐานะเป็นศาลที่กระทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
เมื่อทราบและเข้าใจเรื่องความเห็นแย้งดังนี้แล้วก็จะสามารถติดตามและทำความเข้าใจเรื่องราวนี้ได้อย่างถูกต้องกระจ่างแจ้งต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี