ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสพบปะกับเพื่อนๆ ชาวมาเลเซียในระหว่างการประชุมสัมมนา ทั้งที่จัดในประเทศมาเลเซีย และในประเทศไทยเป็นระยะๆ ซึ่งก็มักเป็นเรื่องแรงงานอพยพ เรื่องผู้อพยพลี้ภัย เรื่องสิทธิมนุษยชน และเรื่องประชาธิปไตย
แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่มักมีการพูดคุยกันนอกเวทีด้วยความห่วงกังวลก็คือ ปัจจุบันนี้ได้มีข่าวคราวว่า มีชายชาวมาเลเซียนับถือศาสนาอิสลาม เดินทางข้ามฟากจากเขตแดนมาเลเซียมายังเขตแดนไทยทางภาคใต้เพื่อมาทำพิธี “การแต่งงาน” ชนิดประเดี๋ยวประด๋าว กับเด็กหรือสตรีเยาว์วัยชาวไทยมุสลิม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มีนัยของการค้ามนุษย์ หรือการหลอกลวง หรือบีบบังคับ ให้เด็กผู้หญิงและเยาวชนสตรีไทยมุสลิมตกเป็นเจ้าสาวแบบชั่วคราว โดยการอ้างการตีความตามการสั่งสอนของศาสนาอิสลามโดยเฉพาะในหมู่นิกายชีอะห์ว่า สามารถแต่งงานระยะสั้นๆ ภายใต้การดำเนินการของนักบวช (The Cleric)นั้นกระทำได้ เป็นความถูกต้อง เท่ากับว่าเป็นการบิดเบือนคำสั่งสอน หรือเอาการตีความทางศาสนามาบังหน้าเพื่อการนี้ (Sex Trade)
กรณีเหล่านี้ มีข้อเท็จจริงแค่ไหน สังคมไทยจะบอกว่าไม่มีผู้รู้เห็น และผู้รับผิดชอบก็คงไม่ได้ จะดูกระไรอยู่ ผมเองก็ขออนุญาตใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อบอกกล่าวปัญหาไว้ ณ ที่นี้ ซึ่งจะมีพรรคและนักการเมืองใด ที่จะอาสาเป็นปากเป็นเสียงให้กับเด็กผู้หญิงเหล่านี้(ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมาจากครอบครัวที่ยากจน) ก็ขอให้รีบไปดำเนินการต่อเพื่อให้เกิดความถูกต้องทั้งทางศีลธรรม และสิทธิมนุษยชน
ที่ประเทศอิรัก สำนักข่าวบีบีซีได้ทำการสืบสวนเรื่องราวและจัดทำรายงานว่า มีกรณีที่เด็กผู้หญิงและเยาวชนสตรีถูกบังคับให้ “แต่งงาน” ชั่วคราว นับครั้งไม่ถ้วน โดยการแต่งงานชั่วคราวนี้เรียกว่า“การแต่งงานเพื่อความหรรษา (PleasureMarriage)” ภาษาอาหรับใช้คำว่า Zawaj al-Mutaa ซึ่งพิธีแต่งนั้น จะถูกดำเนินการโดยนักบวช (The Cleric)เมื่อแต่งแล้วก็มีเพศสัมพันธ์กันได้ แล้วหลังจากมีเพศสัมพันธ์กันแล้ว การแต่งงานก็สิ้นสุดลงตามสัญญาชั่วโมง หรือวัน หรือเดือน หรือ ปี โดยเจ้าสาวได้ค่าสินสอดประมาณ 5-6 พันบาท โดยเฉลี่ย
ประเพณีนี้บอกกล่าวกันมาว่า เกิดขึ้นก่อนสมัยศาสนาอิสลามจะเกิดขึ้น และได้ตกทอดต่อมา และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอิสลามบางสังคมมาจนบัดนี้
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ก็คือการซื้อเพศสัมพันธ์นั่นเอง เพียงแต่หาความชอบธรรม ผ่านทางการกำหนดให้มีนักบวชทำพิธีการ “แต่งงาน” ขึ้น ซึ่งชื่อกระบวนการก็บอกแล้วว่า “เพื่อความหรรษา” มิใช่เพื่อการดำรงชีวิตคู่อยู่กันอย่างยั่งยืน จึงไม่ได้ต่างจากการอำพรางการค้ามนุษย์ ซึ่งเหยื่อก็มักจะเป็นเยาวชนเพศหญิงที่มาจากครอบครัวยากจนนั่นเอง
การเอารัดเอาเปรียบเด็กหญิงนี้เป็นความโหดร้าย เด็กต้องตกเป็นเหยื่อของตัณหาของชายที่ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ และที่เลวกว่านั้นก็คือผู้อ้างเป็นนักบุญ นักบวชนั้น ก็คือนักค้ามนุษย์ ผู้คุมตลาดประเวณีนั่นเอง
กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองประเทศ และผู้นำศาสนา จะต้องร่วมกันพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพื่อให้เกิดการคุ้มครองต่อเยาวชนหญิงโดยทั่วไป ดังนั้นเมื่อรับทราบแล้ว หากมีอำนาจแต่ละเว้นการดำเนินการที่จะแก้ไข ก็ต้องถือว่าเป็นบาป เพราะมันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสตรีเพศเยาว์วัยอย่างชัดเจน และผิดศีลผิดธรรมด้วยประการทั้งปวง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี