การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยฝ่ายรัฐบาลลูกผสม ดูอย่างไรก็เป็นเพียงการให้ยาหอมแก่สังคม เพราะได้ใช้คำว่า “การศึกษา” ว่าด้วยการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลนี้ไม่เร่งรีบ โดยเฉพาะการอ้างว่า เรื่องปากท้องประชาชนต้องมาก่อน (ทั้งๆ ที่ก็ทำควบคู่กันไปได้ โดยไม่ต้องละเลยเรื่องเศรษฐกิจ) นอกจากนั้นแล้ว ขั้นตอนการแก้ไขที่ผูกเอาไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็แสนยุ่งยาก สลับซับซ้อน เพราะมีเจตนาให้การแก้ไขกระทำได้ยากยิ่งมาตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ตาม ทางภาคประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการที่ประเทศไทยจะต้องอยู่กันไปท่ามกลางความไม่เป็นประชาธิปไตย ต่างก็พร้อมที่จะฟันฝ่าอุปสรรคทั้งสิ้นทั้งมวล เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยแห่งสิทธิเสรีภาพแห่งการมีส่วนร่วม แห่งการกระจายอำนาจ และลดการกระจุกตัวของอำนาจรัฐไว้ที่ส่วนกลาง และสังคมขับเคลื่อนด้วยหลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และมีผู้รับผิดชอบต่อการใช้อำนาจรัฐใดๆ
ณ วันนี้อย่างน้อยก็มี 2 องค์กรภาคประชาชน ที่ออกมาเริ่มเคลื่อนไหวในเรื่องการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 อันได้แก่
1.คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ซึ่ง ณ วันนี้มีเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนอยู่ประมาณ 30 กว่าองค์กรแล้ว
2.คณะกรรมการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ภาคประชาชน ซึ่งมีสาขาแนวร่วมอยู่ในทุกภาคของประเทศไทย
ทั้ง 2 องค์กรมีความเห็นคล้ายคลึงกันว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญมีความไม่ชอบมาพากลคือ ขัดกับหลักประชาธิปไตยที่เข้าใจกันทั่วไปในสากลโลก อาทิ
1.วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งโดยฝ่าย คสช. (กองทัพ) ฉะนั้น จึงเป็นฐานการเมืองให้กับฝ่ายกองทัพ เพื่อให้ตัวแทนกองทัพได้กลับเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการสืบทอดอำนาจ
2.เปิดช่องทางให้ผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง และไม่ต้องเป็น สส. (ผู้แทนราษฎร) ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ สังคมไทยได้ต่อสู้มาตลอด ในประเด็นการปฏิเสธ นายกฯ คนนอก หรือประชาธิปไตยแบบครึ่งใบ
3.การกำหนดให้พรรคการเมืองสามารถเสนอชื่อใครก็ได้ ไม่ต้องเป็นสมาชิกพรรคตนก็ได้ 3 ชื่อล่วงหน้า เพื่อที่จะให้รัฐสภาลงคะแนนเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไร้เหตุและผล และไม่มีตรรกะทางประชาธิปไตยมารองรับ ในขณะที่ปฏิเสธการให้ผู้สมัครไม่สังกัดพรรค สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็น
นายกรัฐมนตรีได้
4.คณะกรรมการยุทธศาสตร์ ที่มีหน้าที่ดำเนินการเรื่องต่อเนื่องจากรัฐบาล คสช.ดันมีอำนาจเหนือคณะบริหาร (รัฐบาล) ที่มาจากการเลือกตั้ง สิ่งนี้มีลักษณะเป็นพฤติกรรมทางการเมืองแบบคอมมิวนิสต์ เพราะมีอำนาจที่ไม่ยึดโยงใดๆ กับประชาชน สามารถครอบงำประชาธิปไตยได้
5.การแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา เพื่อนำไปสู่ตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆ ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนพลเมือง อีกทั้งกฎเกณฑ์ที่เอื้อให้ผู้สมัครตำแหน่งต่างๆ ในองค์กรอิสระต่างๆ ทำให้ฝ่ายราชการมีความได้เปรียบกว่าผู้สมัครจากภาคสังคมอื่นๆ
6.ผู้บังคับบัญชาฝ่ายกองทัพ และตำรวจที่อยู่ในราชการ กลับมีตำแหน่งทางการเมือง คือเป็นวุฒิสมาชิกโดยอัตโนมัติ เป็นการขัดกับหลักประชาธิปไตยที่ว่าข้าราชการประจำจะต้องไม่มีบทบาทใดๆ ทางการเมือง
7.นอกจากนั้น เรื่องการกระจายอำนาจก็ดีเรื่องการค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองครั้งที่ผ่านๆ มา เพื่อนำไปสู่การปรองดองสมานฉันท์ ก็กลับถูกฝ่ายรัฐบาล คสช. ดองไว้ ในขณะเดียวกัน ฝ่ายกองทัพที่ฉีกกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ก็ออกกฎหมายอภัยโทษกันเอง (แถมในการถวายสัตย์ปฏิญาณของนายกฯก็ตกหล่นประโยคเกี่ยวกับการที่จะเคารพ และปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเท่ากับว่า ผู้นำรัฐบาลนี้ ไม่ได้มองว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญมิได้เป็นสถาบันที่ 4 ของบ้านเมืองที่จะละเมิดมิได้)
8.มิได้มีการระบุถึงการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการสะท้อนความประสงค์ ที่จะรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ส่วนกลาง ผ่านระบบราชการ
9.บทว่าด้วยนโยบายรัฐและหน้าที่รัฐ กลับมิได้มีการระบุว่าใครคือตัวแทนรัฐ โดยทั้ง 2 บทนี้ ก็ไม่ได้มีความจำเป็นแต่อย่างใด เพราะผู้ใดที่เข้ามาเป็นคณะรัฐบาล ก็มีหน้าที่ที่จะต้องตอบสนองความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติและพลเมืองอยู่แล้ว
สังคมไทยได้มีความก้าวหน้าในเรื่องการเป็นประชาธิปไตยมาโดยตลอด จะมาชะงักลงก็ในช่วงหลังๆ ตั้งแต่วิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งจุดบกพร่องของประชาธิปไตยนั้นอาจจะมีอยู่ในสังคมไทย แต่ก็ต้องช่วยกันแก้ไข และพัฒนากันต่อไป แต่จะต้องมิใช่ด้วยวิธีการใช้การรวมศูนย์อำนาจมาเป็นทางออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีเจตนาหลักในการรักษาสถานภาพเดิม (Status quo) ซึ่งเป็นอำนาจของฝ่ายกองทัพ ข้าราชการประจำ และกลุ่มอภิสิทธิ์ชน ที่ไม่ได้ใส่ใจถึงประโยชน์ของชาติ และประชาชนเป็นหลัก
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี