ในช่วงแรกๆ ที่ คสช. ยึดอำนาจ ได้ถูกกดดันอย่างหนักหน่วงจากสหรัฐอเมริกา และเครือข่ายบริษัทบริวารทั้งหลาย มีการลดระดับความน่าเชื่อถือในทุกประเภท มีการจำกัดสิทธิ์ต่างๆของประเทศไทยในทางการค้า กระทั่งถึงขั้นที่ออกข่าวว่าจะห้าม คสช. เดินทางเข้าสหรัฐ
แม้กระทั่งในการจัดงานวันชาติ แทนที่จะมีการเชื้อเชิญผู้นำในรัฐบาลไปร่วมงาน กลับแสดงออกอย่างชัดเจนถึงท่าทีทางการเมืองในลักษณะเดียวกันคือหันไปเชิญแกนนำคนเสื้อแดงเข้าไปร่วมงานในสถานทูต
โชคดีของประเทศไทยที่ในภาวะคับขันนั้น ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ของจีน ได้แถลงอย่างเป็นทางการถึงท่าทีของประเทศนั้นต่อการยึดอำนาจในประเทศไทยว่าเคารพต่อการตัดสินใจของรัฐบาลไทย และเชื่อมั่นว่า คสช. จะสามารถนำพาประเทศและฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ได้
แน่นอนว่าเหตุการณ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุบังเอิญ แต่เพราะมีคนทำ แต่ใครจะไปทำงานเรื่องนี้ยังไม่สำคัญเท่ากับว่าในยามที่ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพตกระกำลำบากอันเกิดจากปัญหาวิกฤติและความขัดแย้งในประเทศอย่างรุนแรงจนจำเป็นต้องมีการยึดอำนาจนั้น กลับกลายเป็นว่ารัสเซียและจีนกลับแสดงท่าทีเข้าใจ เห็นอกเห็นใจและเคารพการตัดสินใจของรัฐบาล คสช.
นอกจากนั้น ประเทศอินเดียก็ได้แสดงท่าทีชัดเจนในการรับรองรัฐบาล คสช. เพราะขณะนั้นรัฐบาลอินเดียได้มีคำเชิญผู้บัญชาการทหารสูงสุดให้เดินทางเยือนอินเดียก่อนการยึดอำนาจ ครั้นมีการยึดอำนาจแล้วก็มีบางประเทศไปกดดันรัฐบาลอินเดียให้ยกเลิกคำเชิญนั้นเสีย
แต่รัฐบาลอินเดียไม่สนใจการทักท้วงหรือกดดันใดๆ กลับดำเนินนโยบายในลักษณะเดียวกันกับรัสเซียและจีน โดยรัฐบาลอินเดียได้ยืนยันคำเชิญให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทยเดินทางเยือนอินเดียและยังคงยืนยันในกำหนดการเดินทางเยือนระหว่างกันตามเดิมทุกประการ ซึ่งเป็นการแสดงท่าทีที่เป็นมิตรและเกื้อกูลต่อประเทศไทยในยามคับขันนั้นด้วย
ในขณะเดียวกันประเทศอิหร่านซึ่งอยู่ไกลไปถึงตะวันออกกลางกลับแสดงท่าทีที่ยืนข้างและพร้อมที่จะสนับสนุนช่วยเหลือประเทศไทยอย่างเต็มที่ ประธานาธิบดีของอิหร่านได้แจ้งเจตจำนงของรัฐบาลอิหร่านต่อรัฐบาลไทยว่ามิตรภาพ 463 ปี ณ เวลานั้นระหว่างไทยกับอิหร่านไม่มีการเปลี่ยนแปลงและไม่มีใครทำให้เปลี่ยนแปลงได้ สองมือของอิหร่านได้ยื่นออกมาพร้อมให้รัฐบาลไทยจับได้ทุกเมื่อ และในทุกเรื่องที่อิหร่านสามารถร่วมมือช่วยเหลือประเทศไทยได้ อิหร่านพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจนั้นอย่างดีที่สุด
ขาดก็แต่เกาหลีเหนือซึ่งไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีที่เป็นผลร้ายต่อประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย
รวมความก็คือประเทศแกนหลักขององค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ได้แสดงจุดยืนและท่าทีที่เคารพต่อเอกราชอธิปไตยและเคารพต่อกิจการภายในของประเทศไทย พร้อมทั้งแสดงท่าทีชัดเจนที่จะสนับสนุนช่วยเหลืออย่างเต็มที่ด้วย
สำหรับญี่ปุ่นซึ่งเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดและมีผลประโยชน์ร่วมกันจำนวนมากก็ได้แสดงท่าทีที่เป็นมิตร เพียงแต่วอนว่าหวังให้รัฐบาล คสช. ช่วยเหลือดูแลผลประโยชน์ของญี่ปุ่นในประเทศไทย ซึ่งนั่นก็เป็นปกติของทุกรัฐบาลไทยอยู่แล้ว
ต่างกันอย่างลิบลับกับท่าทีของสหรัฐอเมริกาที่เป็นมิตรสนิทใกล้ชิดยาวนานของประเทศไทย และประเทศไทยก็ได้ทุ่มเทสนับสนุนช่วยเหลือทุกอย่าง แม้กระทั่งในการศึกสงคราม ทั้งๆ ที่การศึกสงครามเหล่านั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับประเทศไทยเลย แต่เพราะน้ำใจคุณธรรมน้ำมิตรประเทศไทยก็ถือน้ำมิตรเป็นใหญ่ ยอมเสี่ยงเจ็บเสี่ยงตายเข้าช่วยมิตรโดยไม่คิดเห็นแก่ความเสียหายของตนเลย
สหรัฐเปิดสงครามเกาหลีแล้วชักชวนให้ประเทศไทยส่งทหารไปร่วมรบ ประเทศไทยก็เข้าร่วมรบตามคำขอของเพื่อน ไม่มีอิดเอื้อนแม้แต่น้อย
สหรัฐเปิดสงครามรุกรานเวียดนามแล้วชักชวนให้ประเทศไทยส่งทหารไปร่วมรบ มิหนำซ้ำยังขอตั้งฐานทัพใหญ่ในประเทศไทย ส่งเครื่องบิน B52 ไปถล่มสังหารชาวเวียดนามบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก โดยสงครามเวียดนามในครั้งนั้นชาวเวียดนามล้มหายตายจากกว่าล้านคน
สหรัฐไปเปิดศึกสงครามที่ไหนก็มาชักชวนประเทศไทยไปเข้าร่วมด้วยเสมอ โดยไม่เคยคิดถึงความสูญเสียและความเสียหายใดๆ ความมีคุณธรรมน้ำมิตรอย่างนี้สหรัฐจะหาเพื่อนแบบประเทศไทยได้ที่ไหนเล่า
ดังนั้นด้วยความสัมพันธ์อันแนบแน่นยาวนานเช่นนี้ จึงควรที่สหรัฐจะได้ถนอมรักไมตรีจิตมิตรภาพอันล้ำลึกยาวนานนี้ไว้ดุจแก้วตาดวงใจ หรืออย่างน้อยก็ทะนุถนอมอย่าให้บอบช้ำกระทบกระเทือนหรือฟั่นเฟือนไป
หลังจากสหรัฐพ่ายแพ้สงครามเวียดนามก็ขนข้าวของหนีกลับประเทศ ปล่อยให้ประเทศไทยยืนหน้าศึกอย่างโดดเดี่ยวในสถานการณ์ที่จะกลายเป็นโดมิโนตัวสุดท้ายที่เผชิญหน้ากับกองทัพอันเกรียงไกรที่มีแสนยานุภาพถึง 300,000 คน พร้อมรถถัง T-54 ที่ทันสมัยสุดในยุคนั้นประชิดอยู่ชายแดนไทย
ในยามโดดเดี่ยวเดียวดายและเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเช่นนั้น สหรัฐไม่เคยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใดๆ ประเทศไทยเลย ประเทศไทยต้องบากหน้าไปพึ่งพาอาศัยประเทศจีน ดำเนินกลยุทธ์ตีเมืองเว่ย ช่วยเมืองเจ้า ทำให้กองทัพอันเกรียงไกรของเวียดนาม 300,000 คน ต้องถอนกลับไปรับศึกของจีนที่ชายแดนด้านเหนือ
สหรัฐได้ละทิ้งอาเซียนไปเป็นเวลาช้านาน จนกระทั่งสถานการณ์การพัฒนาของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวงเอเชียกลายเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญรุ่งเรืองแห่งยุคสมัย และอาเซียนก็กลายเป็นตลาดใหญ่ที่กระชุ่มกระชวยด้วยประชากรร่วม 650 ล้านคน ซึ่งทำให้ทุกประเทศทั่วโลกจ้องจับตามองหวังเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้
ประกอบกับประเทศไทยได้ดำเนินวิเทโศบายในช่วงแรกของการยึดอำนาจด้วยกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ลึกซึ้งขึ้นโดยลำดับ เป็นผลให้รัฐสภาสหรัฐต้องปรับเปลี่ยนท่าทีความสัมพันธ์จากการกดดันนานาชนิดมาเป็นการเอาอกเอาใจและเข้ามามีบทบาทครั้งใหม่
ครั้นได้รับการเอาอกเอาใจจากมหามิตรที่ทิ้งร้างกันไปนานก็เกิดการเปลี่ยนแปลงวิปริตพลิกผันขึ้น คือการหันกลับไปจับมือเอาเป็นเอาตายกับสหรัฐใหม่ แลกมากับการผ่อนปรนการกดดันทั้งหลาย โดยที่ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือใดๆ เลย
และผลจากการนั้น ประเทศไทยก็บิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงมากหลายที่ได้ทำความตกลงกันไว้ในยามยากกับทั้งรัสเซีย จีน อินเดีย และอิหร่าน ทั้งๆ ที่ประเทศเหล่านั้นได้ลงทุนช่วยเหลือสนับสนุนค้ำจุนประเทศไทยเป็นจำนวนมากในช่วงยากลำบากนั้น
ครั้นทิ้งพวกมาเอาเพื่อนดังแต่ก่อน ประเทศไทยก็เริ่มถอยห่างออกจากพวก มาอี๋อ๋อกับเพื่อนเก่าจนออกนอกหน้า เพียงไม่กี่เดือนหลังการเลือกตั้งประเทศไทยก็ถูกขอความร่วมมือให้จัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ไปแล้ว 5 ครั้ง ในวงเงิน3,000 ล้านบาทเศษ, 2,000 ล้านบาทเศษ, 5,000 ล้านบาทเศษและที่ยังไม่ได้มีการคอนเฟิร์มคำสั่งซื้ออีก 7,000 ล้านบาทและที่กำลังตั้งเรื่องเห็นชอบกันเบื้องต้นแล้วอีก 12,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากมีการคอนเฟิร์มคำสั่งซื้อเมื่อใดก็อาจจะมีแผนการที่ต้องจัดซื้ออย่างน้อยอีกสองครั้งที่ระดับ 20,000 ล้านบาท และ 30,000 ล้านบาท
เป็นปรากฏการณ์อย่างเดียวกันกับที่ซาอุดีอาระเบียเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศเผชิญมาแล้ว และเผ่นแผลวกันเป็นแถวทิวให้เห็นมาแล้ว
แม้ว่าประเทศไทยจะอยู่ในภาวะยากลำบากแต่ก็รักเพื่อนเอาใจเพื่อน ยอมจน ยอมยาก แต่ที่ไหนได้ ในขณะที่ทิ้งพวก เพื่อนกลับเข้ามาแทรกแซงการบริหารบ้านเมืองหนักหน่วงขึ้นทุกที เริ่มต้นจากการที่ให้คนระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีที่ไม่ได้มีราคาอะไรทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีไทยคัดค้านการยกเลิกการใช้สารพิษตามเจตจำนงของประชาชาติไทย
ไม่ทันข้ามสามวันก็ออกมาตรการกีดกันการค้าไทย โดยยกเลิกสิทธิทางภาษีของไทยเป็นวงเงินถึง 40,000 ล้านบาท และคงจะมีมาตรการทำนองนี้ออกมาอีกมาก
ประเทศไทยจะกอดคอล่มจมไปกับเพื่อนแบบนี้ได้นานเพียงใด เพราะซาอุดีอาระเบีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นชาติมหาเศรษฐีก็เผ่นหนีกันกระเจิงแล้ว
ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องจำเริญพระบรมราโชบายในการต่างประเทศของสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้ามานำทางอันสว่างรุ่งเรืองให้กับประเทศไทยได้แล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี