ขณะนี้ คน “ระดับนำ” ของพรรคอนาคตใหม่ พยายามสื่อสารกับสังคมว่า พวกเขาถูก “โจมตีจากผู้มีอำนาจ” แน่แนอน เพื่อเรียกความน่าสงสาร เล่นบทผู้ถูกกระทำ และเราจะต้องร่วมกันต่อสู้กับ “อำนาจ” นั้นๆ ต่อไป เพื่อให้ตัวเองดูดี มีอุดมการณ์ มีหลักการทว่า หากไล่เลียงประเด็นที่ “คนในพรรค” ทั้งที่ “ยังอยู่” และ“เคยอยู่” พูดถูกและกล่าวเตือนนั้น จะพบว่า ความลำพองความไม่สนใจผลกระทบต่อประเทศชาติ สถาบันหลัก และประชาชน ตลอดจน “ความไม่จริงใจ” คือ “สนิมที่เกิดอยู่ภายใน”คนระดับนำของพรรอนาคตใหม่เอง
ไม่รวมคำวิจารณ์เรื่อง ชนชั้นในพรรค กลุ่มก๊ก และการเล่นพรรคเล่นพวกของหัวหน้า เลขาฯ และโฆษกของพรรคแล้ว คำเตือน 4เรื่องต่อไปนี้ เป็นประเด็นที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับนายปิยบุตรแสงกนกกุล และคนระดับนำอื่นๆ ของพรรคควร “เปิดใจรับ-ปรับปรุง”
1) คำเตือนเรื่องท่าทีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 น.ส.ศรีนวล บุญลือ สส.เชียงใหม่ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เปิดเผยถึงกรณีเข้าชี้แจงต่อกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ เพื่อสอบสวนเกี่ยวกับ สส.โหวตสวนมติพรรค ในพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) โอนอัตรากำลังพลฯ ว่า ตนเข้าชี้แจงต่อพรรค โดยแจ้งเหตุผลของการงดออกเสียงต่อร่าง พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ ไปว่า หากออกเสียงเห็นด้วยก็จะเป็นการเกรงใจมติพรรค แต่หากโหวตไม่เห็นด้วยก็จะเป็นประเด็นเรื่องการจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตนจึงเลือกการงดออกเสียง เพราะไม่สามารถออกเสียงมติตามพรรคได้ เพราะการโอนย้ายกำลังพลฯ นั้น เป็นการทำไปเพื่อดูแลความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ เราขัดไม่ได้ เพราะเราเป็นคนไทย ซึ่งตนก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร มันเป็นสิทธิ์ของเรา เมื่อชี้แจงไปแบบนี้ทางพรรคก็ยังไม่ให้ความเห็น เพียงแค่รับฟังตนเท่านั้น
“เมื่อทุกคนเรียกร้องประชาธิปไตยกัน จึงต้องสามารถทำงานร่วมกันทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน เราสามารถจะเข้าใครก็ได้ เพื่อประโยชน์ของประชาชน เราก็ชี้แจงไปแบบนี้” น.ส.ศรีนวล กล่าว
เมื่อถามว่า สส.ในพรรคมีปฏิกิริยาต่อตัวเองอย่างไรน.ส.ศรีนวล กล่าวว่า เพื่อน สส.หลายคนก็เฉยๆ ตามมารยาทของคนไทย บางคนก็มาคุย แต่ตนก็ยืนยันว่าจะทำงานเป็นหลักเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างไม่มีอะไรแอบแฝง
“คนในพื้นที่ของแม่ตอนแรกก็เข้าใจผิด เพราะในโลกโซเชียลก็มีการพูดถึงเรื่องงูเห่าสีส้มพรรคอนาคตใหม่รับเงิน 10 ล้าน 40 ล้าน50 ล้าน รวมกันแล้วก็ 100 ล้าน ถ้ามันได้จริงๆ แม่จะขอลาออกเลย แต่มันไม่มีไง ลองคิดดูว่า คะแนน 374 เสียง แล้วเขาจะเอาเป็นสิบๆล้านเพื่อแลกกับการงดออกเสียง 1 เสียงทำไม และยืนยันว่าไม่เคยมีพรรคนั้นมาซื้อพรรคนี้มาขอซื้อให้ย้ายฝั่ง และในหัวยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ด้วย ตลอดมาทุกวันอังคารที่ประชุมพรรค แม่ไม่เคยขาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ประชุมสภาฯ ก็ไม่เคยลา เพราะตั้งใจทำงานให้ประชาชน” น.ส.ศรีนวล กล่าว
ส่วนกระแสข่าวเรื่องที่แอบพบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ที่ทำเนียบรัฐบาล นั้น น.ส.ศรีนวล เปิดเผยว่า วันนั้นตนเพียงนำหนังสือของโรงพยาบาลแม่วาง ที่ทำเรื่องขอใช้พื้นที่ของโรงเรียนบ้านใหม่ปางเติม ที่ถูกยุบไป ไปให้นายอนุทิน ตนมีหน้าที่เพียงนำหนังสือไปส่งเท่านั้น คือหลังจากส่งหนังสือที่กระทรวงสาธารณสุขเสร็จก็โทร.ไปหานายอนุทิน ซึ่งท่านบอกว่าอยู่ที่ทำเนียบ ตนจึงต้องนำหนังสือไปส่งที่ทำเนียบ ตอนนั้นหาท่านไม่เจอจึงโทร.หาอีกรอบ ท่านจึงให้เจ้าหน้าที่ลงมารับ ตนจึงเดินตามไป แต่ข่าวกลับออกมาบอกว่าเราไปหลบไปซ่อน ขอร้องว่าอยากให้ทำข่าวกันตามความจริงอย่างใส่ร้ายป้ายสีกันแบบนี้
2) คำเตือนเรื่องวาทกรรมสวยหรู แต่ขาดความเป็นธรรม
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 นายวรพจน์ บุ่นจันทึก อดีตผู้สมัคร สส.เขต 13 นครราชสีมา พรรคอนาคตใหม่ 1 ใน 120 คนที่ลาออกจากพรรค เปิดเผยว่า สาเหตุที่สมาชิก 120 คนลาออกจากพรรคนั้น มาจากอุดมการณ์ที่เราไปต่อกันไม่ได้ การทำงานของคนในพรรคที่บอกว่าสมาชิกทุกคนเป็นเจ้าของพรรค แต่จริงๆ ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่พรรค และเรื่องของการทำงานของคณะทำงานต่างจังหวัดที่ไม่เป็นธรรมกับสมาชิก เพราะตั้งแต่หลังเลือกตั้งมาคณะกรรมการจังหวัดของพรรคไม่เคยเรียกอดีตผู้สมัครไปร่วมประชุมเลย มีแต่จัดการกันเอง หลายคนมองว่าเราลาออกเพราะจะไปสังกัดพรรคอื่น
นายวรพจน์ ยืนยันว่า อดีต สส.ที่ลาออกยังไม่ไปสังกัดพรรคไหน แม้จะมีบางพรรคเข้ามาติดต่อให้ไปเป็นสมาชิกพรรค และที่สำคัญพวกเราจะไม่กลับไปเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่อีกแน่นอน แม้เราจะไม่มีพรรคสังกัด แต่ยังทำประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนได้ และที่ลาออกก็ไม่มีการต่อรองตำแหน่งใดๆ กับพรรคทั้งสิ้น เราลาออกเพราะหัวหน้าพรรคไม่มีสัจจะในคำพูด ถ้าหัวหน้าพรรคไม่มีสัจจะในคำพูด หากวันใดไปเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วจะดูแลประชาชนได้หรือไม่
“ผมคงไม่กลับไปเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่อีกครั้งแน่นอน เพราะผมพอแล้วกับคำว่า “วาทกรรม” คงไม่กลับอีกแล้ว เพราะถึงแม้เราไม่ได้ทำงานกับพรรคอนาคตใหม่ เราก็ดูแลพี่น้องประชาชนได้ สมาชิกที่ลาออก 120 คน ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากพรรค มีแต่พรรคเสนอให้มา ซึ่งคำว่าวาทกรรมนั้นเป็นเพียงคำพูดที่สวยหรู แต่การกระทำมันไม่ใช่อย่างที่เคยพูด เหมือนคำแถลงที่พรรคแถลงการณ์เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา มันก็เป็นวาทกรรมเฉยๆ ที่ให้ทุกคนเข้าใจว่าพรรคยอมข้อเสนอแล้ว แต่จริงๆ มันเป็นแค่วาทกรรม แค่ทำให้เชื่อเท่านั้น”
นายวรพจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับ พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ ที่พรรคมีมติไม่สนับสนุน ซึ่งทางพวกเรา 120 คน รู้สึกแคลงใจในเรื่องนี้มาก เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญของระดับประเทศ เพราะประเทศมีทุกอย่างในวันนี้ได้ เพราะสถาบัน ซึ่งคำว่าสถาบันสำหรับเราสำคัญมากที่สุด เพราะทุกอย่างถ้าเราไม่มีสถาบันก็อยู่กันไม่ได้ จึงตัดสินใจและเป็นเหตุผลที่พวกเราลาออกมา ทั้งนี้ ไม่ว่าอดีตผู้สมัคร สส.ที่ออกไปจะเป็นสนิมหรือขยะ ก่อนที่พวก สส.ที่ไปนั่งอยู่ในสภา 50 คนก็ไม่ใช่พวก สส.ขยะพวกนี้หรือที่เป็นคนหาคะแนนเสียงให้
“เราก็เชื่อเหมือนกันว่ากาลเวลาจะพิสูจน์คน และอีกไม่นานประชาชนก็จะได้รู้เองว่าอนาคตใหม่เป็นแบบไหน ไม่ต้องดูอะไรมาก ดูที่การกระจายอำนาจ เพราะพรรคอนาคตใหม่เน้นการกระจายอำนาจมากที่สุด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กระจายอย่างที่พูดไว้” นายวรพจน์ กล่าว
3) คำเตือนเรื่อง “ความลำพอง”
1 พฤศจิกายน 2562 ว่าที่ ร.ต.ฉัตรชัย แก้วคำปอด อดีตผู้สมัครสส.เขต 4 อุบลราชธานี พรรคอนาคตใหม่(อนค.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ในหัวข้อ “#การเดินทางของพรรคอนาคตใหม่”มีเนื้อหาดังนี้
“...รถโดยสารคันนี้ ชื่ออนาคตใหม่ รับส่งผู้คนไปโรงเรียนประชาธิปไตย แม้การเดินทางจะสามารถไปได้หลายทางอย่างไม่ลำบาก แต่หลายคนก็พร้อมใจและยินดีที่จะร่วมเดินทางไปกับรถโดยสารคันนี้ ถึงแม้จะเป็นรถคันเล็กๆ พื้นที่นั่งไม่เพียงพอ แม้กระทั่งการเดินทางมีความเสี่ยงต่อชีวิตและร่างกายก็ตาม บางคนได้ที่นั่งสบายบ้างได้นั่งครึ่งก้น บางคนได้ยืนอย่างสบาย บ้างได้ยืนเพียงขาเดียว แต่ก็ไม่มีใครปริปากว่าลำบากในการเดินทาง หรือเรียกร้องที่นั่งดีๆ
...คนขับรถโดยสารคันนี้ ชื่อธนาธร แม้เป็นมือใหม่หัดขับ แต่ก็ขับรถเป็น เพราะเคยขับรถเบนซ์มาก่อน ต่างกันที่รถเบนซ์เป็นเกียร์อัตโนมัติขับง่าย แต่รถโดยสารเป็นเกียร์กระปุก การเดินรถต้องค่อยๆไปทีละเกียร์ ตั้งแต่เกียร์ 1 ถึง 5 สลับไปมา ซึ่งผู้โดยสารทุกคนก็ทราบดีว่าคนขับรถโดยสารคันนี้เป็นมือใหม่ แต่ก็เต็มใจที่จะร่วมเดินทางเพราะมั่นใจว่าคนขับรถคันนี้รู้เส้นทางที่จะนำพวกเขาเหล่านี้ไปถึงโรงเรียนประชาธิปไตยที่เขาใฝ่ฝันได้ และแล้วคนขับรถโดยสารก็ทำสำเร็จ สามารถนำผู้โดยสารทุกคนไปถึงโรงเรียนประชาธิปไตยได้อย่างปลอดภัยทุกคน
...แต่ปัญหาอยู่ที่ขากลับ
...คนขับรถอาจลำพองว่ารู้เส้นทางที่จะมาถึงจุดหมายได้แล้ว ก็เลยเผลอดื่มเหล้าระหว่างการขับรถโดยสารระหว่างขากลับ ทำให้มึนเมาหรืออาจเรียกได้ว่าเมาอำนาจตัวเองก็ได้ เมื่อเมาแล้วขับ ทำให้การครองสติในการขับรถไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่งผลให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน อาจมองเห็นแค่บางคน และภาพบางคนขาดหายไป บางครั้งขับรถส่ายไปส่ายมา ไม่เหมือนตอนขาไปที่ขับ
...พอถึงครึ่งทางมีผู้โดยสารบางคนที่ยืนเกาะท้ายรถตกรถโดยสารคันดังกล่าว มีผู้โดยสารในรถกดกริ่งเพื่อแจ้งเตือนให้คนขับจอดรถ เพื่อจะดูอาการคนที่ตกรถ แต่ด้วยการครองสติไม่ได้ของคนขับทำให้ไม่สนใจแล้วยังขับรถโดยสารต่อไป
...ทั้งที่ความจริง หากคนขับรถมีสติอยู่บ้าง หรือไม่เมามายอะไร เขาจะต้องหยุดรถ แล้วไปดูผู้โดยสารที่บาดเจ็บ สอบถามเขาว่าเขาเจ็บตรงไหนอะไรบ้าง แล้วพยุงเขาขึ้นรถ แล้วพาไปรักษาในที่เหมาะสม เมื่อผู้โดยสารคนที่บาดเจ็บหายดีเชื่อว่าเขาก็ยังจะเดินทางไปต่อกับรถโดยสารคันนี้และไว้ใจคนขับคนนี้เช่นเดิม
...แต่เมื่อคนขับรถโดยสารไม่สนใจใยดีว่าผู้โดยสารจะเป็นเช่นไรก็ตามข้าไม่สนใจ เพราะคนส่วนใหญ่ยังขึ้นรถเต็มคันอยู่เหมือนเดิมแล้วนั้น ต่อไปผู้โดยสารในรถคันดังกล่าวจะเห็นพฤติกรรมของคนขับคันนี้ และอาจไม่เดินทางไปต่อก็ได้ แต่ก็หวังลึกๆ ว่าคนขับรถคันนี้จะครองสติแล้วทบทวนตัวเองอีกครั้ง”
4) คำเตือนเรื่องหยุดสร้างผลกระทบต่อ “ประเทศชาติ-สถาบันหลัง-ประชาชน”
1 พฤศจิกายน 2562 เฟซบุ๊ค “เจ๊ดา อนาคตจันท์” ซึ่งเป็นเพจสนับสนุน นางลัดดา จตุอุทัยศรี หรือ “เจ๊ดา” นักธุรกิจเจ้าของโรงแรมในจ.จันทบุรี อดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คภายหลังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคของพรรคอนาคตใหม่ ออกสารถึงสมาชิกพรรค มีเนื้อหาดังนี้
“...ยินดีด้วยนะเอก ที่ได้สติขึ้นมา ที่ออกมาขอโทษ และยอมรับความผิดพลาด ขอจงจำไว้ว่าทุกคำพูด ทุกนโยบาย ทุกการกระทำที่เอกให้ความหวังกับประชาชน โดยเฉพาะเรื่องปัญหาปากท้องของเขาเรื่องการพัฒนาความเป็นอยู่ของเขา ประชาชนเขาเฝ้ารอคอย เขามีความหวัง เพราะเขาเชื่อมั่นในผู้พูด แต่เมื่อใดที่เอกไม่ได้กระทำตามคำพูด ให้มันเกิดขึ้นจริง มันก็เหมือนเด็ก ที่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ประชาชนเขาก็เสื่อมศรัทธาเป็นธรรมดา
...ตัวอย่างนักการเมือง ที่ไม่รักษาสัจจะวาจา ไม่รักษาหลักการแล้วต้องตกอับ หมดความนิยม อับจนหนทางที่จะเรียกศรัทธาจากประชาชนกลับคืน นับแต่อดีตจนปัจจุบันมีให้เห็นมากมาย
...หลักการประชาธิปไตย หลักความเท่าเทียม หลักสิทธิมนุษยชนจะใช้ได้ ต้องไม่ขาดซึ่งจริยธรรมทุกหลักการ หากใช้โดยขาดจริยธรรมอันดี ใช้โดยขาดความหวังดีต่อเพื่อนมนุษย์ใช้โดยดูหมิ่น เหยียดหยาม ทำร้ายจิตใจคน ใช้โดยไม่ให้ความยุติธรรมต่อคน สัตว์ สิ่งแวดล้อม ย่อมเกิดผลไม่ดีตามมานี่คือพื้นฐานของกฎแห่งกรรม แม้จะป่าวประกาศไปทั้งโลกถึงหลักการที่ดี แต่คิดไม่ดี แต่ทำไม่ดี ก็ไม่อาจเกิดผลดีขึ้นได้
...อีกเรื่อง ผู้นำที่เคยดี แต่เสียความดี เพราะคนรอบข้าง ก็มีให้เห็นมากมายในสังคม การจะทำสิ่งใดตามคำเพ็ดทูลของคนรอบข้าง ในฐานะที่การตัดสินใจของเอก สามารถให้คุณ ให้โทษแก่ประชาชนได้จำนวนมาก จึงต้องใช้สติ ปัญญา พิจารณาให้ดี อย่าตัดสินใจอย่างคนสิ้น สติ ปัญญา
...การตัดสินใจทำสิ่งใด ต้องคำนึงเสมอ ว่าจะมีผลกระทบต่อชาติบ้านเมือง มีผลกระทบต่อประชาชนทุกคน มีผลกระทบต่อสถาบันหลักของชาติอย่างไร อะไรที่ทำแล้ว จะส่งผลให้เกิดความแตกแยก ต้องหยุดทันที ไม่ทำเด็ดขาด เพราะจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ต่อทุกภาคส่วนของชาติ
...และที่สำคัญ อย่าหลงตัวว่า ประชาชนเลือกเอกแล้ว สนับสนุนเอกแล้ว เอกจะคิด ทำสิ่งใดก็ได้ โดยไม่ถามประชาชน ความคิดเอก อุดมการณ์ของเอก ไม่สามารถทดแทนความคิดของคนอีกกว่า 6 ล้าน ที่สนับสนุน สส.ของเอก และพรรคของเอกได้ดังนั้น มติพรรค จึงควรมาจากประชาชนอย่างแท้จริง ให้โอกาส สส. ได้กลับไปถามประชาชนในพื้นที่ ว่าประชาชนมีความเห็นอย่างไรในเรื่องที่ต้องลงมติ
...ทีมเอกเก่งเทคโนโลยี จะทำระบบสอบถามไปยังประชาชนในพื้นที่แต่ละเขต โดยไม่มีการชี้นำทางความคิด ให้ประชาชนเขาได้คิด ไตร่ตรองด้วยตนเองก็ได้ แล้วให้เอกสิทธิ สส. เขาได้แสดงออกในสภา อย่างที่ประชาชนที่ออกเสียงสนับสนุน สส. เขาต้องการ การแสดงความเห็นที่หลากหลาย คือความสวยงามของประชาธิปไตยไม่ใช่หรือ
...ที่ผ่านมา เจ๊ดาช่วยเอกได้เท่าที่เอกก็คงรับรู้อยู่ วันนี้ เจ๊ดาขอทำตามความตั้งใจ ที่มีมาก่อนที่เอกจะตั้งพรรค เจ๊ขอทำเพื่อพี่น้องประชาชนคนจันทบุรี เจ๊ขอพัฒนาท้องถิ่นบ้านเกิดของเจ๊ให้ดีขึ้น
...วันนี้เราเดินกันคนละทาง และเจ๊จะไม่หวนกลับไปอีก จะขอทำงานเพื่อท้องถิ่นของเจ๊เท่านั้น ที่ผ่านมา เจ๊ออกมากระทุ้งพรรค กระทุ้งผู้บริหารพรรค กระทุ้งความคิดของประชาชนให้ตระหนักว่าคนที่มีฐานะเป็นผู้นำ เป็นนักการเมือง ต้องปฏิบัติอย่างไรกับประชาชน ส่งผลไปยังความคิดของประชาชนอีกมาก รวมถึงตัวเอกให้เห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
...เจ๊เป็นผู้ใหญ่ มีเหตุ มีผลมากพอ เมื่อเอกออกมาขอโทษ ยอมรับความผิดพลาด เจ๊ก็จะคอยดู ว่าเอกจะจริงใจกับคำขอโทษเพียงไหน จะยอมรับความผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นในพรรคหรือไม่ จะจริงใจในการแก้ไขปัญหาให้หมดไป ให้พรรคตั้งอยู่บนหลักการที่ดี จริยธรรมที่ดี มีความยุติธรรมให้กับประชาชนทุกคนหรือไม่ จะพร้อมปกป้องชาติบ้านเมือง และสถาบันหลักหรือไม่
...ถ้าเอกยังผิดพลาดในเรื่องเดิมๆ เจ๊จะออกมากระทุ้งเตือนสติเอกอีกแน่นอน”
คำเตือนเหล่านี้ ล้วนเป็นคำเตือนที่มีคุณค่า อยู่ที่ว่ามันจะสามารถทะลุทะลวง “อัตตา” ของผู้นำภายในพรรคทั้งหลายแหล่ได้มากเพียงใด!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี