ในช่วงนี้ มีข่าวคราวมากมายเกี่ยวกับการประท้วงของประชาชนพลเมืองต่อรัฐบาลของตน ไม่ว่าจะเป็นที่เลบานอน อิรัก โบลิเวีย และชิลี
นอกเหนือจากเวเนซุเอลา ที่ถือว่าเป็นขาประจำแล้ว การประท้วงส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมด มิได้เป็นเรื่องอุดมการณ์การเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองแต่อย่างใด
หากแต่เป็นเรื่องปากท้อง ที่เกิดจากการบริหารราชการบ้านเมืองแบบไม่เอาไหนของรัฐบาล ซึ่งทำงานแบบไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชนพลเมือง แถมยังระคนไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งก็คือการเข้ามาตักตวงผลประโยชน์เข้าตน หรือเข้ามาทำมาหากินกับอำนาจตำแหน่งหน้าที่แล้วทำเป็นหลงลืมประชาชนพลเมืองและภาระหน้าที่พึงเป็น รวมถึงคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชนพลเมืองเมื่อตอนหาเสียง หรือเมื่อตอนขีดเขียนนโยบาย และจุดยืนของพรรค
ปัญหาที่ผู้คนออกมาประท้วงร้องเรียน แสดงความไม่พึงพอใจ ก็หนีไม่พ้นเรื่อง ค่าครองชีพรายรับรายจ่ายประจำวันไม่ลงตัว โดยแทนที่ฝ่ายรัฐบาลจะลงมือแก้ไข กลับออกมาตรการรัดเข็มขัดมาอีกด้วย ซึ่งเป็นการซ้ำเติมความยากลำบากในชีวิตประจำวัน โดยล้อกันไปกับเรื่องของการตกงาน หรือคนหนุ่มสาวไม่มีงานทำ การบริการภาครัฐต่างๆ ทั้งสาธารณูปโภคและการสาธารณสุข ก็ตกต่ำ แล้วประชาชนยังต้องเผชิญกับการใช้อำนาจโดยมิชอบ หรือเกินขอบเขตกฎหมาย และหลักมนุษยธรรมของบรรดาเจ้าหน้าที่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ช่วยเร่งระดับความเดือดเนื้อร้อนใจ จนก่อเกิดเป็นความเคียดแค้นในใจของประชาชน
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คงเป็นปัญหาว่าด้วย การคิดอ่านมุมมองของประชาชนพลเมืองต่อชนชั้นผู้ปกครอง (Perception) ว่าดีแต่พูด ดีแต่การให้คำมั่นสัญญา แล้วก็เอาแต่ประโยชน์เข้าตน เอาแต่ตัวเอง เสมือนเข้ามาอาศัยอำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนทั้งหลาย เพื่อความผาสุขของพวกตนเป็นสำคัญ แล้วก็ไม่รู้จักยินดียินร้าย
ไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อความเดือดร้อน ร้อนอกร้อนใจของประชาชนพลเมือง
แล้วในที่สุด ความคับแค้นใจก็ระเบิดออกมา ซึ่งฝ่ายทางภาครัฐดังกล่าว ก็เลือกที่จะตอบสนองด้วยการใช้กำลังเข้าปราบปรามส่งผลให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อ แทนที่จะรับฟังปัญหาของประชาชนด้วยดี แล้วทำการเจรจาเพื่อหาทางแก้ไข
บทเรียนเรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าว่า เมื่อเลือกที่จะอาสาเข้ามารับใช้ประชาชนพลเมืองและประเทศชาติแล้ว ผู้นั้นก็ต้องทำตามนั้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมแต่เพียงอย่างเดียวจะเป็นอื่นมิได้
หลายๆ รัฐบาลทั่วโลก เมื่อเข้ามารับตำแหน่งแล้วก็คิดแต่จะให้อยู่ในอำนาจตลอด โดยประสงค์จะอยู่ในอำนาจต่อไป จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจไปวันวันหนึ่ง แล้วก็ลืมเลือน หรือมองข้ามภาพใหญ่ของประเทศ และความต้องการพื้นฐานของประชาชน ก็เท่ากับว่าเป็นการเชื้อเชิญปัญหาและความท้าทายจากประชาชนโดยใช่เหตุ รัฐบาลใดๆ ที่เอาประชาชนพลเมืองเป็นที่ตั้ง ไม่มีเป้าหมายแอบแฝง หรือผลประโยชน์ทับซ้อน ก็จะสามารถชี้แจงการกระทำได้ และโน้มน้าวความเชื่อถือของประชาชนพลเมืองได้ รัฐบาลใดที่ “หลอก” ประชาชนพลเมือง นอกจากทำให้ประเทศชาติเสียหายแล้ว ก็จะเผชิญกับความจริงจากประชาชนในที่สุด เพราะประชาชนพลเมืองมิใช่ “สัตว์เลี้ยง” ที่จะชักจูงได้
ส่วนของไทยเรานั้น ตลอด 5-6 ปี ของเหตุการณ์ว่าด้วยการบริหารราชการประเทศของรัฐบาลทหาร มีแต่การซื้อใจคนรากหญ้า ด้วยโครงการประชานิยม ในขณะที่คนระดับบน(บริษัทธุรกิจครอบครัวยักษ์ใหญ่) ก็ยินดีปรีดากับเม็ดเงินสด ที่รัฐบาลอัดฉีดออกมาผ่านมือชาวรากหญ้าไปสู่กลุ่มทุน ในขณะที่ประชาชนต่างพูดกันแล้วพูดกันอีกว่า ไม่มีการดำเนินนโยบายที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานของประชาชนพลเมืองและสังคม
ไทยเราจึงยังติดอยู่กับภาวะกระจุกตัวของทรัพย์สินและอำนาจรัฐ ที่ถ่างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการรัฐต่างๆ ให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ
น่าแปลกที่ภาครัฐยังภูมิอกภูมิใจกับตัวเลขต่างๆ ที่เสกสรรปั้นแต่งกันขึ้นมาหลอกตนเอง และยังมั่นใจในเสถียรภาพของตนเองอย่างมาก โดยอิงจากสภาวการณ์ความสงบเรียบร้อยบนท้องถนน ซึ่งผู้นำรัฐคงไม่ได้ตระหนักเลยว่า ข้างใต้ความสงบเรียบร้อยนั้น มีความไม่พึงพอใจของประชาชนกำลังค่อยๆ เดือดขึ้นอยู่
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี