ความจริงในขณะนี้แม้ว่ารัฐบาลดูเหมือนมีคะแนนเสียงปริ่มน้ำ แต่ความจริงคะแนนเสียงก็เกินปริ่มน้ำไปราวๆ 10-15 เสียงแล้ว นั่นเพราะการเปลี่ยนสีแปรธาตุหรือการแปรพรรคของนักการเมือง ซึ่งเป็นปกติที่จะต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
และมักจะอ้างเหตุผลเหมือนกันคือเพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ แต่ประชาชนทั้งประเทศก็ย่อมรู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการเปลี่ยนสีแปรธาตุซึ่งอาจมีการขายตัวอยู่ด้วยทั้งสิ้น จึงสามารถกระทำการทรยศต่อประชาชนที่เลือก แม้กระทั่งพรรคการเมืองที่อุ้มชูให้ได้รับเลือกตั้ง
แต่ทว่าสถานการณ์ล่าสุดทำให้เกิดการวิเคราะห์กันอย่างกว้างขวางว่าการปรับคณะรัฐมนตรีน่าจะใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว และอย่างช้าที่สุดน่าจะเป็นช่วงหลังจากเรื่องสำคัญผ่านการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว ก็จะมีความโล่งโปร่งใจที่จะปรับคณะรัฐมนตรีได้ตามใจชอบ
เรื่องสองเรื่องที่จะต้องเสร็จสิ้นก่อนปรับคณะรัฐมนตรีก็คือ เรื่องร่างกฎหมายงบประมาณ ซึ่งกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่สองและสามในปลายปีนี้ และญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งฝ่ายค้านตั้งแง่ตั้งเชิงพร้อมจะยื่นในทันทีที่สถานการณ์เอื้ออำนวย
และทั้งสองเรื่องนี้ถ้าหากพลาดพลั้งลง รัฐบาลก็อาจจะล้มครืนลงมาได้ ไม่ว่าจะด้วยการยุบสภาหรือด้วยการพ้นตำแหน่งจากนายกรัฐมนตรี ดังนั้นจึงต้องอาศัยจังหวะจะโคนที่เหมาะสมคือการผ่านพ้นเรื่องสองเรื่องนี้ไปก่อน
เหตุที่ทำให้เกิดการวิเคราะห์ว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีได้เกิดขึ้นเนื่องในโอกาสที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทย ของกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ และมีการจัดงานต้อนรับอย่างเอิกเกริก
และในงานนั้นก็มีการพูดจาออกสู่สาธารณะที่ทำให้คนทั้งหลายต้องติดใจจับตามองอยู่สองเรื่องคือ
เรื่องแรก จะมีผู้คนในพรรคประชาธิปัตย์ลาออกตาม นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ออกมาอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนจะมากจะน้อยเท่าใดนั้นไม่ปรากฏชัด แต่สถานการณ์เช่นนี้ได้ท้าทายหรือพูดง่ายๆ ว่ากระทบต่อเกียรติภูมิและฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบันอย่างรุนแรง ไม่ต่างกับ
ชาวบ้านที่มีห้องแถวที่อยู่ฝั่งถนนเดียวกัน แล้วคนในบ้านหลังหนึ่งป่าวประกาศว่าอีกไม่นานคนในบ้านหลังจะย้ายมาอยู่บ้านกูโว้ย
จะเกิดอะไรขึ้น และจะมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรก็คิดกันได้เอง
เรื่องที่สอง ก็คือคำกล่าวที่ว่าสถานการณ์ในพรรคประชาธิปัตย์ทุกวันนี้แม้การหายใจก็ยังล่วงรู้ไปถึงภายนอก โดยเฉพาะอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ คือกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเท่ากับบอกตรงๆ ว่าได้กุมสภาพทั้งหลายของพรรคประชาธิปัตย์อย่างถี่ถ้วน แต่แม้กระนั้นก็สู้การมาทำพรรคใหม่และการย้ายมาสู่พรรคใหม่ไม่ได้
การล่วงรู้สภาพภายในของพรรคประชาธิปัตย์คงทำให้คณะผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ และคนที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์มีความรู้สึกอย่างไร ก็มีแต่ใจของชาวพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่จะตอบได้
ความจริง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม นั้นเคยประกาศมาก่อนหน้านี้แล้วว่าในชีวิตการเมืองของตนจะอยู่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคสุดท้าย ออกจากพรรคนี้เมื่อใดก็เลิกการเมืองเมื่อนั้น ดังนั้นถ้าหากว่าเดิมพันในการออกจากพรรคไม่หนักพอ ไหนเลยที่จะออกจากพรรคประชาธิปัตย์ได้
ดังนั้นการออกจากพรรคประชาธิปัตย์ดังกล่าวจึงบอกความนัยที่ชัดเจนว่ามีภารกิจสำคัญวางอยู่ข้างหน้าที่หนักหน่วงมากพอที่จะต้องเสียสละการอยู่พรรคเดิมไปร่วมงานกับพรรคใหม่ ซึ่งใครๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าได้ร่วมกันมานานแล้ว และลมหายใจนั้นก็คงจะทราบกันมานานแล้ว
แล้วอะไรที่เป็นภารกิจอันหนักหน่วง จนถึงกับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ต้องออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งก็เสร็จมานานแล้ว การเลือกตั้งใหม่ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีเมื่อใดเพราะยังอึมครึมกันอยู่ทั้งนั้น
นี่จึงเป็นที่มาของการวิเคราะห์ของคอการเมืองทั้งหลายว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีเกิดขึ้น และโดยสภาพที่เป็นอยู่ดังกล่าวมาข้างต้นก็อาจจะเกิดขึ้นหลังเรื่องสองเรื่องสำคัญผ่านไปแล้วนั่นเอง
หมายความว่าภารกิจสำคัญของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม คือการไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่อยู่ในโควตาของพรรครวมพลังประชาชาติไทยปัจจุบันก็คือกระทรวงแรงงาน แต่ถ้าหากมีการปรับคณะรัฐมนตรีก็ไม่แน่ว่าอาจจะเปลี่ยนโควตานี้ก็ได้
เพราะในช่วงการจัดตั้งรัฐบาลก็มีข่าวกระเซ็นกระสายให้ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า พรรครวมพลังประชาชาติไทยจะได้โควตากระทรวงการต่างประเทศ แต่เนื่องจากมีภาระต่อเนื่องเกี่ยวพันที่ประเทศไทยเป็นประธานการประชุมอาเซียน ดังนั้นจึงไม่ต้องการเปลี่ยนม้ากลางศึก และเป็นเหตุให้มีการสับเปลี่ยนโควตามาเป็นกระทรวงแรงงาน
ดังนั้นก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าในโควตาของพรรครวมพลังประชาชาติไทย 1 ตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น จะมีการปรับเปลี่ยนเป็นกระทรวงไหน ในขณะที่ความจริงก็รู้กันอยู่ว่ามีโควต้ามากกว่านั้น และยังถือเป็นสัดส่วนนับเนื่องอยู่ในโควตาของพรรคประชาธิปัตย์
แต่ที่ต้องจับตามองมากกว่าก็คือการปรับคณะรัฐมนตรีนั้น ย่อมกระทบต่อผู้ดำรงตำแหน่งเดิมอยู่เสมอ และนั่นก็เป็นเหตุสำคัญที่กระทบ
ต่อเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย จึงต้องใคร่ครวญให้จงหนัก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี