ทันใดที่สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจของประเด็น “ภาพลักษณ์ ครม.ในใจประชาชน” ออกมาว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น มีภาพลักษณ์กล้าคิด กล้าทำ มือสะอาด ไม่ด่างพร้อย และคณะรัฐมนตรี มีบารมีคุมผู้มีอิทธิพลได้ ฉับพลันนั้น นายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีแห่งเกาหลีใต้ ก็ได้ชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันก่อนว่าบทบาทในการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศของ พล.อ. ประยุทธ์ นั้น ทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศโตขึ้นอย่างมีความเป็นพลวัต ซึ่งจากกระแสที่ออกมา ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมของรัฐบาลในสายตาประชาชน หรือในสายตานานาประเทศนั้น ยังออกมาในทางบวกอยู่ แต่ทว่าภาพลักษณ์ที่ออกมาจะสะท้อนกับสิ่งที่ประชาชนรู้สึกหรือไม่? คำตอบจะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับผลงานของรัฐบาลต่อจากนี้
ต้องยอมรับว่าจุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้ ยังคงเป็นเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ และแม้รัฐบาลจะทราบดี และยึดเอาเป็นภารกิจหลักเพื่อเร่งดำเนินการด้านต่างๆ แล้ว แต่เนื่องจากนายกฯ ยังเป็นคนเดิมต่อจากยุคคสช.และทีมเศรษฐกิจหลายคนยังเป็นชุดเดิม จึงมีภาพการบริหารเศรษฐกิจที่ผ่านมาเป็นตัวตอกย้ำ และในครม.รอบที่ผ่านมานี้ก็ยังถือว่ายังไม่ได้ประสิทธิผลมากเท่าที่ประชาชนคาดหวังไว้ ซึ่งการที่ทิศทางเศรษฐกิจยังไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลวางยุทธศาสตร์ไว้
หลายฝ่ายก็มองว่ามีเหตุและผลอยู่ 2 ประเด็นหลักๆ นั่นคือ หนึ่ง ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันนี้นั้น เป็นชุดที่ทำงานต่อเนื่องจากชุดก่อนจึงมีความคาดหวังของประชาชนแต่กลับถูกมองว่า ยังขาดความเข้าใจทางการบริหารเศรษฐกิจหรือไม่? เพราะการดำเนินการสั่งการต่างๆ ดูไม่ทันการในหลายๆ เรื่อง? โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัด นั่นก็คือในการประชุมคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ในประเด็นของ ค่าเงินบาท ที่แข็งค่ามาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งได้ออกมาประกาศลดดอกเบี้ย และปล่อย 4 มาตรการเพื่อหวังแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทนั้น ย่อมแสดงให้เห็นถึงภาพที่ขาดการกำกับดูแลจากทีมเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดใช่หรือไม่? ตลอดจนการทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยในและหน่วยนอกรัฐบาล ซึ่งต่อไปหาก พล.อ. ประยุทธ์ ในฐานะหัวเรือของทีมเศรษฐกิจลงมากำกับดูแลเองอย่างใกล้ชิดมากขึ้น น่าจะลดปัญหาดังกล่าวได้?
สอง สายสัมพันธ์ทางการเมืองในการด้านการบริหาร โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ต้องยอมรับว่าความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่ด้วยสถานภาพของรัฐบาลประยุทธ์ ที่เป็นรัฐบาลผสมนั้น มีรองนายกฯ ที่ดูเศรษฐกิจถึงสามคนจากสามพรรค ในแง่มุมของการทำงานก็สามารถส่งผลได้หลายรูปแบบ ซึ่งก็มีผลทั้งด้านดีและด้านไม่ดี แต่หากลองจับสัญญาณล่าสุด ไม่ว่าจะทั้งกรณีของ นายเทพไท สส.จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมากล่าวโจมตีทีมเศรษฐกิจว่าเป็นการใช้คนไม่ถูกกับงาน หรือทั้งกรณีของพรรคภูมิใจไทยที่แม้จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ก็แสดงอากัปกิริยาชิงเหลี่ยมกับพรรคพลังประชารัฐออกมาเป็นระลอก? ตามที่ได้เห็นในสื่อก่อนหน้านี้
ซึ่งเหตุและปัจจัยดังกล่าวนี้เอง ทำให้ภาพของการบริหารงานด้านเศรษฐกิจ ภายใต้รัฐบาลผสมของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ถูกมองโดยบรรดานักวิเคราะห์ว่าแบ่งออกเป็นสามสาย นั่นก็คือสายของนายจุรินทร์ ที่ดูแลกระทรวงพาณิชย์ สายของนายอนุทิน ที่ดูแลกระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสายสุดท้ายคือสายของนายสมคิด ที่รับหน้าที่ดูแลกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน
ซึ่งผลจากความแตกต่างในแหล่งที่มานี้เอง ทำให้อดีตกัปตันด้านเศรษฐกิจสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 1 อย่างนายสมคิด ก็ออกมายอมรับว่าในตอนนี้นั้นคุมได้เพียงขาเดียว คือกระทรวงการคลัง ฉะนั้นแล้วหลายฝ่ายจึงมองว่าการทำงานต่อจากนี้ หากยังไม่มีผู้ชี้ขาดด้านเศรษฐกิจ และดูแลภาพรวมของทีม ย่อมไม่ส่งผลดีต่อการดำเนินการของยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจต่อจากนี้ไปใช่หรือไม่? แต่ทว่าหากมองอีกมุมหนึ่งแล้ว การแบ่งสายที่ชัดเจนนั้น หากสามารถบริหารงานให้บูรณาการกันได้ในแต่ละกระทรวง ย่อมทำให้เกิดกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่อาจจะมีประสิทธิผลมากขึ้นกว่าเดิมใช่หรือไม่? ผลคงต้องติดตามดูทิศทางนับจากนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันทางเศรษฐกิจเช่นนี้ ก็ดูจะมีประกายความหวังใหม่ เมื่อกระทรวงการคลังเตรียมเร่งดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีวานนี้ ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว ประกอบไปด้วย 1.มาตรการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจรากหญ้าใน 3 โครงการย่อย 2.มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ผ่านโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวปีการผลิต 2562/63 และ 3.มาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ในโครงการชื่อ “บ้านดี มีดาวน์” เพื่อเป็นการลดภาระให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตน ซึ่งจากมาตรการทั้ง 3 เมื่อคำนวณดูแล้วในแง่ของจีดีพี หลายฝ่ายก็คาดว่าน่าจะขยายได้ถึง 2.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ไว้ที่ 2.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มค่าตัวชี้วัดของเศรษฐกิจในภาพรวมแล้ว ที่สำคัญคือมาตรการข้างต้นทั้ง 3 ยังมีส่วนช่วยเศรษฐกิจในระดับฐานราก ที่ถือเป็นแกนหลักที่จะทำให้กลไกต่างๆ ขับเคลื่อนได้อย่างมีเสถียรภาพมากขึ้นได้ใช่หรือไม่?
นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้ง 3 ที่เร่งออกมาเพื่อแก้ปัญหาภายในปีนี้แล้ว ในปีหน้านั้น เศรษฐกิจในประเทศก็อาจมีทิศทางที่ดีขึ้นใช่หรือไม่? หลังมีการเปิดเผยถึงแนวทางการบริหารจัดการเศรษฐกิจของทีมเศรษฐกิจในปี 2563 ออกมา ซึ่งครอบคลุมใน 5 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านเกษตรกร กำลังแรงงาน ผู้มีรายได้น้อย เอสเอ็มอี และเศรษฐกิจฐานราก 2.การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการขยายตัวจากการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ 3.การขับเคลื่อนทางการส่งออกให้ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3.0 เปอร์เซ็นต์ 4.การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว 5.การสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน
ซึ่งหากมองดูแล้วแผนดังกล่าวก็ดูจะครอบคลุมครบทุกเรื่อง แต่ทว่าที่หลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วงนั่นคือขั้นตอนกระบวนการในการดำเนินงานนั้น จะสามารถทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างที่วางไว้หรือไม่?
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ การจัดทำแผนและมาตรการต่างๆ เพื่อรองรับบริบทต่างๆ ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ถือว่ารอบคอบและครบถ้วนแล้ว เพียงแต่การกำกับให้เกิดการปฏิบัติจริงจะทำได้หรือไม่ รวมถึงการกำกับการทำงานของพรรคร่วมที่ต่างมีนโยบายของตนเอง ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ที่ไม่ได้จะกำกับได้ง่ายๆ นอกจากนี้ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจในช่วงนี้ นอกจากการบริหารจัดการภายในประเทศเอง ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ อีกส่วนหนึ่งยังเป็นปัญหาที่ควบคุมไม่ได้ อย่างสงครามทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งส่งผลต่อความผันผวนของเศรษฐกิจในระดับโลก ซึ่งหมายรวมถึงประเทศไทยด้วย
แต่ในตอนนี้แผนยุทธศาสตร์ และมาตรการต่างๆของรัฐบาลได้เริ่มทยอยออกมา และได้มีการเริ่มดำเนินการบางส่วนแล้ว เศรษฐกิจไทยต่อจากนี้ จะสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างมีเสถียรภาพ และมั่นคงต่อไปหลังจากนี้หรือไม่?
“…ผู้ทำการใหญ่สำเร็จ ล้วนให้ความสำคัญต่อมวลราษฎร
ชาวบ้านสูงค่า ยิ่งกว่าพวกเจ้าขุนมูลนายเสียอีก..”
เล่าปี่ จากเรื่องสามก๊ก (1994)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี