ถัดจากเรื่องอดีตปลัดกระทรวงคมนาคมถูกโจรปล้นบ้าน แล้วพยายามจะอ้างว่าเงินที่โจรได้ไปนั้นจำนวนไม่กี่ล้าน ส่วนเงินสดมหาศาลที่โจรอ้างว่าได้เจอในบ้านและไปนั้น ไม่ใช่ของตน
เรื่องต่อไปนี้ ก็นับว่าพิลึกไม่น้อยไปกว่ากัน
1. ทองคำแท่งหนัก 318 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 596 ล้านบาท ถูกอายัดไว้เป็นของกลาง
อดีตอธิบดีกรมสรรพากรที่ถูกดำเนินคดีทุจริต คดีร่ำรวยผิดปกติ ไม่รับว่าเป็นของตน
ขณะที่ร้านทองยืนยันว่า มีการซื้อใบจองและจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว โดยอธิบดีรายดังกล่าว
2. สำนักข่าวอิศราได้รายงานเรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาต่อสังคมได้เป็นอย่างดี ระบุว่า
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2562 นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงถึงกรณีนี้ว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริง นายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร และพวก ถูกกล่าวหาว่าทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ปรากฏข้อเท็จจริงว่า กลุ่มบริษัทที่สำแดงต่อกรมสรรพากรว่า ประกอบธุรกิจรับซื้อสินค้าจำพวกเศษโลหะ จากผู้ขายในประเทศ โดยเป็นผู้ประกอบกิจการส่งออกทั่วไปรายใหม่ เพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 กรมสรรพากร ทั้งที่ไม่เป็นผู้ประกอบกิจการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ไม่มีสิทธินำใบกำกับภาษีซื้อมาใช้ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม และผู้ขายสินค้าไม่ได้ประกอบกิจการจริง เป็นผู้ไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีซื้อ อันเป็นการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นเท็จ เมื่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตรวจสอบพบว่า มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นจำนวนมากผิดปกติและปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบของกรมสรรพากร นายสาธิต รังคสิริ กลับสั่งการระงับเรื่องไม่ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่
ในทางไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่า เงินที่บริษัทดังกล่าวได้รับจากการคืนภาษีจากกรมสรรพากรโดยมิชอบ ได้มีการโอนไปมาระหว่างบริษัทในเครือข่าย และเงินส่วนหนึ่งได้โอนเข้าบัญชีผู้บริหารบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด เพื่อซื้อทองคำแท่ง โดยระบุชื่อนายสาธิต รังคสิริ กับพวกเป็นผู้ซื้อในใบจองทองคำจากบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัชจำกัด จำนวน 5 ฉบับ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีคำสั่งลงวันที่ 21 เมษายน 2558 ให้อายัดทองคำแท่งดังกล่าวที่มีการชำระเงินครบถ้วนแล้ว โดยมอบหมายให้ผู้บริหารบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด เป็นผู้ครอบครองดูแลหรือเก็บรักษาแทน
คณะกรรมการ ป.ป.ช. และได้ส่งเรื่องนายสาธิต รังคสิริ ร่ำรวยผิดปกติ ไปยังสำนักตรวจสอบทรัพย์สินดำเนินการต่อไป
ต่อมา เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดนายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กับพวก ในความผิดอาญาฐานทุจริตในการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม และส่งสำนวนคดีไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปโดยอัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นแล้วและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล
สำหรับคดีร่ำรวยผิดปกติ เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ไต่สวนข้อเท็จจริง นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร และนายศุภกิจริยะการ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 ทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้ความว่า เงินที่บริษัทดังกล่าวได้รับจากการคืนภาษีจากกรมสรรพากรโดยมิชอบ ได้มีการโอนไปมาระหว่างบริษัทในเครือข่ายและเงินส่วนหนึ่งได้โอนเข้าบัญชีผู้บริหารของบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด เพื่อซื้อทองคำแท่ง โดยระบุชื่อนายสาธิต รังคสิริ กับพวกเป็นผู้ซื้อ ในใบจองทองคำจากบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด จำนวน 5 ฉบับ คณะกรรมการป.ป.ช. จึงมีคำสั่งลงวันที่ 30 ตุลาคม 2558 อายัดทองคำแท่งดังกล่าว โดยมอบหมายให้ผู้บริหารบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด เป็นผู้ครอบครองดูแลหรือเก็บรักษาแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยเช่นกัน
ต่อมา เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2559 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดว่า นายสาธิต รังคสิริเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ร่ำรวยผิดปกติ และส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุด ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน โดยเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2562 ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำขอบางส่วน โดยวินิจฉัยในส่วนทองคำแท่งตามใบจองทองคำแท่ง จำนวน 5 ฉบับดังกล่าวว่า ไม่ใช่ทรัพย์สินของนายสาธิต รังคสิริ ที่ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ
ปัญหาว่า เมื่อศาลพิพากษาว่าทองคำแท่งตามใบจองทองคำแท่งจำนวน 5 ฉบับดังกล่าว ซึ่งมีมูลค่ากว่า 600 ล้านบาท ไม่ใช่ทรัพย์สินของนายสาธิต รังคสิริ ที่ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ และบริษัทฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด ก็ปฏิเสธว่า ทองคำแท่งดังกล่าวไม่ใช่ของบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด เพราะมีการชำระเงินค่าทองคำแท่งครบถ้วนแล้วในนามของนายสาธิต รังคสิริ ซึ่งหากสุดท้ายหากไม่สามารถหาเจ้าของที่แท้จริงได้ อาจเกิดความเสียหายได้
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน2562 ให้บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด ส่งมอบทองคำแท่งดังกล่าวข้างต้น รวมน้ำหนักทองคำแท่ง 318 กิโลกรัม ให้แก่คณะกรรมการป.ป.ช. ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 แล้วนำไปเก็บรักษาไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการสมอ้างความเป็นเจ้าของในภายหลัง โดยคดีนี้อยู่ในระหว่างอัยการสูงสุดจะพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งให้อัยการสูงสุดพิจารณาอุทธรณ์แล้ว
3. อ่านแล้ว รู้สึกอัศจรรย์ใจกันแค่ไหน?
หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก
สำหรับคดีทุจริตการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น วงเงินรวมกว่า 4,300 ล้านบาท เกิดขึ้นตั้งช่วงปี 2556 ต่อเนื่องเรื่อยมาเป็นระยะเวลาหลายปี กระทั่งมีการตรวจสอบ มีทั้งชี้มูลความผิดอาญา เรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่ง การลงโทษทางวินัยร้ายแรงด้วยการไล่ออกคดีร่ำรวยผิดปกติ ปัจจุบัน คดียังอยู่ในชั้นศาล
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี