การกล่าวถึงการปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยตามที่ได้อธิบายไว้ในบทความครั้งที่แล้ว ก็เป็นการสรุปความในภาพกว้าง แต่เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม จะขออนุญาตยกตัวอย่างชีวิตของมหาบุรุษลินคอล์น ในกระบวนการเรียนรู้ของท่านอย่างคร่าวๆ
อับราฮัม ลินคอล์น ชนะการเลือกตั้งเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1860 และยุคสมัยของท่านซึ่งเริ่มตั้งแต่มีนาคม ค.ศ. 1861 จนกระทั่งถึงวันที่ต้องจากโลกใบนี้ไปเมื่อวันที่15 เมษายน ค.ศ. 1865 เป็นยุคสมัยของสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือ ที่เรียกว่า “สหภาพ” กับฝ่ายใต้ ที่เรียกว่า “สหพันธ์” ผู้คนล้มตายถึง 600,000 คน ลินคอล์นผู้ไม่เคยร่ำเรียนวิชาทหารหรือออกรบเป็นเรื่องเป็นราว เฉกเช่น สตีเฟนเดวิส ประธานาธิบดีของสมาพันธ์ (ฝ่ายใต้) จึงต้องเรียนรู้การสงครามจากการปฏิบัติจริง ต้องพานพบนายพลทหารแทบทุกแบบอย่าง ทั้งกล้าหาญและขลาดกลัว ทั้งขี้โอ่ อวดตัว และอิจฉาริษยากัน ลินคอล์นจึงต้องเรียนรู้ขณะที่ปฏิบัติงานโดยไม่มีเวลาเตรียมตัว อีกทั้งภารกิจในการบริหารประเทศในช่วงวิกฤติเช่นนี้ โดยไม่มีตัวอย่างให้เห็น รวมทั้งต้องเผชิญหน้ากับสมาชิกวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรที่มีความคิดแตกต่างกันจากกลุ่มรัดดิคาล ที่ต้องการปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสรภาพและกลุ่มอื่นๆ ที่ยังเห็นควรปลดปล่อยทาส โดยมุ่งทำสงครามเพื่อรวมชาติดังเดิม อีกทั้งต้องคิดแก้ไขปัญหาการจัดหางบประมาณ และการเกณฑ์ทหารเพื่อเข้าสู่สงคราม สถานการณ์จึงเป็นวิกฤติตลอดเวลา แต่ลินคอล์นก็มีความสามารถจะครองใจผู้คน และปรับการบริหารงานเพื่อดำรงความเป็นผู้นำ และมุ่งมั่นที่จะเอาชนะแก่ฝ่ายใต้ได้สำเร็จในที่สุด ทั้งนี้เพราะความสามารถเฉพาะตัว ความเสียสละและความสามารถในการครองใจผู้คนด้วยวาทศิลป์ และบุคลิกภาพส่วนตัวที่สร้างความนิยมในหมู่ประชาชนทุกชนชั้นทุกอาชีพ และยังชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1864 อะไรคือปัจจัยหลักที่ส่งเสริมความเป็นผู้นำของท่านประธานาธิบดีผู้นี้
คำตอบ คือ การศึกษาอบรม จากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ ที่ลินคอล์น เติบโตในครอบครัวที่ยากจน ที่ต้องต่อสู้กับธรรมชาติที่หนาวเหน็บในท้องที่ชนบท ทั้งในมลรัฐเคนตักกี้ (รัฐที่ลินคอล์นเกิด) และมลรัฐอินเดียนนา ที่ครอบครัวอพยพมาเมื่อลินคอล์นอายุได้เพียง 7 ขวบ
คุณแม่ของลินคอล์นเติบโตมาจากครอบครัวที่เคร่งศาสนา (นิกายเมททอดิสต์ ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งจากลัทธิคาลแวง) จึงอบรมสั่งสอนให้ลูกได้อ่านพระคัมภีร์เป็นหลัก ลัทธิคาลแวงนั้น เคร่งครัดมาก และเชื่อในการครองชีวิตที่เคร่งครัด ขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริต
การไปเรียนที่โรงเรียนเป็นเรื่องที่ยากลำบากสมัยนั้น แต่ลินคอล์นก็ได้มีโอกาสไปบ้านในบางช่วง จึงได้เรียนการอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น โดยมีหนังสือของดิลเวิร์ธ (Dilworth) เป็นหลัก ซึ่งมี 3 เล่ม ได้แก่ Dilworth’s Speller ที่สอนให้เด็กรักการอ่าน เคารพกฎหมาย ตลอดจนสอนคุณความดี และอีกเล่มหนึ่งชื่อ New Guide to the English Tongue ที่วางรากฐานการอ่าน/เขียน ที่สอนให้นักเรียนรู้จักอ่าน และเขียนภาษาให้ถูกต้อง และยังสอนศีลธรรมไปด้วยในเวลาเดียวกัน
เมื่อลินคอล์นได้เติบโตขึ้น คุณแม่แนนซี ได้ป่วยเป็นไข้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ลินคอล์นก็ได้แม่ใหม่ (ซาราห์) ซึ่งได้ขนหนังสือมากมายหลายเล่มมาให้ลินคอล์นได้อ่าน เป็นที่ถูกใจของลินคอล์นมาก เช่น นิทานอีสปนิยายเรื่องโรบินสัน ครูโซ หนังสือของ จอห์น บันเนียน (John Bunyan) ชื่อ “Pilgrim’s Progress” (การเดินทางของนักแสวงบุญ) ชีวิตของนายพล ยอร์จ วอชิงตัน โดย พาร์สัน วีมส์ (Parson Weems) ซึ่งมีบทเรียนเรื่องการดำเนินชีวิตที่ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรม หนังสือเหล่านี้ เปรียบประดุจขุมทรัพย์อันล้ำค่าที่จะหล่อหลอม อับราฮัม ลินคอล์น ให้ใฝ่ดี ตลอดจนฝึกฝนความคิดและทักษะทางภาษาของลินคอล์น ให้ใฝ่ดี ตลอดจนฝึกฝนความคิด และทักษะทางภาษาของลินคอล์น ให้เป็นนักพูดที่กินใจและดลใจชาวอเมริกันในยุคนั้น
นอกจากนั้น หนังสือ Dilworth’s Speller ยังตอกย้ำการเคารพเชื่อฟังว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญของชาวคริสเตียนที่ดี โดยเฉพาะในแง่คิดของลินคอล์น ก็คือ การเคารพเชื่อฟังและยึดมั่นในหลักรัฐธรรมนูญ คำพังเพยที่เรามักได้ยินได้ฟังเสมอสมัยที่เรียนหนังสือ มักจะมาจากหนังสือเล่มนี้ เช่น “ผู้ที่ไม่ช่วยตนเอง ก็อย่าหวังว่าใครจะมาช่วย”, “ความซื่อสัตย์สุจริตคือนโยบายที่ดีที่สุด”, “นกในเมือง 1 ตัว มีคุณค่ากว่านกสองตัวในพุ่มไม้”
เมื่อลินคอล์น เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สิ่งที่ชอบที่สุดคือได้อ่านบทละครของเชคสเปียร์ ซึ่งท่านจะท่องได้หลายตอน และชอบไปชมละครเชคสเปียร์ เมื่อพำนักอยู่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ส่วนบทกวีที่ชอบอ่านมากที่สุด ได้แก่ บทกวีของ ไบรอน และโรเบิร์ต เบิร์น ซึ่งเป็นบทกวีของยุคโรมันติคส์ และเชิดชูจิตวิญญาณของเสรีภาพ และความบริสุทธิ์ของชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ ขณะที่มหานครมักจะแปดเปื้อนไปด้วยกิเลสตัณหา และการแสวงหาอำนาจ
จิตวิญญาณ และอุดมการณ์ที่เจริญงอกงามในชายหนุ่มจากทุ่งหญ้ามลรัฐอินเดียนนา จึงชี้นำและเป็นเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดลินคอล์น เข้าสู่แวดวงการเมือง และชนะใจประชาชนในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1860 เพื่อเข้ามารับใช้ประเทศในยามวิกฤติที่สุดของสหรัฐอเมริกา
และด้วยจิตวิญญาณของความเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งเมื่อได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1860-1861 ก็ยังเปิดทางให้คู่แข่งทางการเมืองได้เข้ามาร่วมในคณะรัฐมนตรี และแต่งตั้งบุคคลให้ตรงกับฐานะและความสามารถทางการเมืองและการบริหารของผู้นั้น และชอบที่จะรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ตลอดจนปรันโยบายเรื่องทาส และการทำสงครามตามสถานการณ์ เพื่อจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ คือ การรวมมลรัฐทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ไว้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยมีการเลิกทาสในที่สุด และอภัยโทษให้แก่ฝ่ายใต้ผู้แพ้สงคราม ไม่อาฆาตมาดร้าย หรือผู้ใจเจ็บแต่อย่างใด อีกทั้งได้กำหนดหลักชัย หรือเป้าหมายของระบอบการเมืองการปกครอง ที่จะต้องไปให้ถึงในวันข้างหน้า นั่นคือ ประชาธิปไตยซึ่งเป็นระบบการปกครองของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน
การปฏิรูปการศึกษาของไทย จึงควรที่จะกำหนดเป้าหมายระยะยาวอยู่ที่ความเจริญก้าวหน้าทางสังคมและการเมืองเป็นหลัก หรือเป็นอันดับแรก หากเกิดความเจริญรุ่งเรืองทางสังคมและการเมือง และเมื่อผู้คนรู้จักการสร้างและพัฒนาผู้นำที่ดีเศรษฐกิจก็จะเป็นตัวตาม การจัดการศึกษาเพื่อสร้างผู้นำที่ดีที่ฉลาด สุขุมรอบคอบ ยุติธรรม ก็จะได้รับผลทางนโยบายเศรษฐกิจที่ชาญฉลาด ยุติธรรม และเจริญรุ่งเรือง ดังคำกล่าวจากนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต (คือ โสเครตีส) ความว่า “คุณธรรมมิได้เจริญงอกงามจากความมั่งคั่ง ตรงกันข้าม ความมั่งคั่งจะเกิดจากคุณธรรม” ผู้มีคุณธรรม คือผู้ที่จะประสบผลสำเร็จในชีวิต รวมถึงการทำมาหากิน นี่คือคติชาวกรีกจากโบราณ และจากชาวพุทธสมัยพุทธกาล เช่นกัน การศึกษาหาความรู้ตามแนว “Liberal Arts” ในปีที่ 1-2 ระดับมหาวิทยาลัย จึงควรจะเป็นมาตรการสำคัญที่ทางการศึกษาจะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง และหากเน้นไปที่ธรรมาธิปไตย เชื่อแน่ว่าผลผลิตจะได้เยาวชนรุ่นใหม่ที่มีพื้นฐานทางความคิด ที่จะส่งเสริมให้ระบอบประชาธิปไตย แข็งแกร่งขึ้น มีความสำนึกในความเป็นชาติ และยึดหลักธรรมในการครองชีวิตโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ จะรู้จักและเข้าใจในกติกาการเล่นการเมืองแบบน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้รู้ชนะ และจะรังเกียจการใช้กำลัง (ในทุกๆ มิติ) เพียงเพื่อจะเอาชนะแบบ Zero-sum Game (ชนะในทุกๆ กรณี ปราศจากข้อคิดคำนึงถึงกติกาของรัฐธรรมนูญ) ระบบการศึกษาจึงสมควรจะต้องมุ่งสร้างนักประชาธิปไตยตามแบบ “ธรรมาธิปไตย” ในหมู่คนรุ่นใหม่ ประเทศชาติจึงจะรอดพ้นกับดักของการเมืองบนถนน ที่ทุกคนยึดอัตตาเป็นที่ตั้ง มิใช่ความสงบและเจริญรุ่งเรืองของชาติเป็นสำคัญ
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี