สัปดาห์ก่อนเล่าค้างไว้เรื่องของ นายคาเมรอน แฮร์รีส นักสร้างข่าวปลอมรุ่นแรกๆ ในโลกโซเชียลมีเดียที่ได้สร้างเว็บข่าวปลอมชื่อ ChristianTimesNewspaper.com เพื่อเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน
……ก่อนที่คาเมรอนจะเอาข่าวปลอมเรื่องการเตรียมโกงการเลือกตั้งของนางฮิลลารี คลินตัน ลงในโลกออนไลน์เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 เขาได้สร้าง Facebook ขึ้นมาอีก 6 เฟซบุ๊ค เพื่อทำหน้าที่โปรโมท ให้คนมากดไลค์ข่าวปลอมชิ้นนี้ไม่ทันข้ามวันที่ข่าวนี้ปรากฏในโซเชียลมีเดีย ก็มียอดผู้เข้ามาอ่านหรือดูมากถึง 46,021 คนทั่วโลกมีการแชร์ข่าวนี้กันว่อนในสังคมโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าเป็น Facebook, Twitter, Line, Instagram
ถึงแม้วันรุ่งขึ้น คณะกรรมการการเลือกตั้งรัฐโอไฮโอ จะได้ไปตรวจสอบโกดังดังกล่าวและออกแถลงการณ์ว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง แต่ก็สายไปแล้วเพราะข่าวได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์แล้ว และก็ไม่มีใครมานั่งอินังขังขอบสนใจในแถลงการณ์ของ กกต. รัฐโอไฮโอ เพราะคนเหล่านี้มีความลำเอียงเข้าข้างตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (confirmation bias หรือ myside bias) ที่เชื่อว่าฝ่ายฮิลลารีโกง และก็ไม่เชื่อถือในระบบการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้เพราะเชื่อในสิ่งที่ทรัมป์พูดย้ำๆ มาตลอดการหาเสียงว่าระบบจัดการเลือกตั้งครั้งนี้เป็น “a rigged system” หรือ “ระบบที่ถูกจัดการอย่างไม่เป็นตามครรลองของมัน เพื่อหวังผลทางใดทางหนึ่ง”
ไม่กี่วันหลังจากนั้น คาเมรอนก็ได้เงินส่วนแบ่ง 5,000 จากยอดทั้งหมด 22,000 ดอลลาร์ ซึ่งมาจากค่าโฆษณาสินค้าต่างๆ ที่ Google เอามาใส่ไว้ในเว็บไซต์ข่าวปลอมของเขาที่ใช้เวลานั่งเทียนเขียนเพียงสิบห้านาที (หมายเหตุ รายได้หลักของธุรกิจเว็บไซต์มาจากค่าโฆษณาคิดจากจำนวนผู้เข้ามาดูหรือจากยอดการคลิก ยิ่งมีคนเข้ามาดูมาก ก็จะมีการลงโฆษณามาก เจ้าของเว็บไซต์ก็จะได้เงินมาก)
พลันที่หาเงินจากการเขียนข่าวปลอมได้ง่ายๆ เช่นนี้ คาเมรอนบวกลบเลขในใจว่า ถ้าเขาใช้เวลาแค่สักวันละครึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อเขียน fake news เพื่อหากินกับกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ในช่วงที่การหาเสียงกำลังเข้มข้นเช่นนี้ เขาก็สามารถที่จะทำเงินหลักแสนเหรียญได้ไม่ยาก
ปลายเดือนตุลาฯ ไม่ถึงเดือนที่เว็บไซต์ข่าวCTN ถือกำเนิดขึ้นมา มูลค่าของมันอยู่ที่ระหว่าง 115,000 ถึง 125,000 ดอลลาร์ เพราะเว็บไซต์นี้ติดอันดับหนึ่งในสองหมื่นเว็บไซต์แรกๆ ที่คนเข้าชมจากจำนวนกว่าพันล้านเว็บไซต์ที่มีอยู่ทั้งหมดทั่วโลก แต่คาเมรอนตัดสินใจรออีกนิด โดยตั้งใจว่าจะขายมันภายหลังวันเลือกตั้ง (8 พ.ย.2559)
อย่างไรก็ตาม พลันที่ผลการเลือกตั้งออกมาพลิกล็อกชนิดหักปากกาโพลล์เกือบทุกสำนัก จึงมีการวิเคราะห์กันอย่างกว้างขวางว่า ทำไมทรัมป์ถึงได้รับชัยชนะในการครั้งเลือกตั้ง ซึ่งหนึ่งในปัจจัยนั้นคือเรื่องข่าวปลอมต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งข่าวที่เป็นบวกกับทรัมป์และเป็นลบกับฮิลลารี
เมื่อเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนี้ ทันทีที่คาเมรอนเข้าไปเช็คในเว็บไซต์ข่าว CTN ของเขาปรากฏว่าโฆษณาที่เคยมีอยู่มากมายหายไปหมด เพราะ Google ถอดออกหมด เว็บไซต์ที่เคยมีมูลค่ากว่าแสนเหรียญเมื่อไม่กี่วันก่อนกลายเป็นเว็บไซต์ที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรต่อไป
ภายหลัง เมื่อมีการสืบเสาะจนพบว่านายคาเมรอน แฮร์รีส คือเจ้าของผู้ก่อตั้งเว็บข่าว CTN บัณฑิต ดับเบิลเมเจอร์ (double major) ทั้งรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ผู้นี้บอกกับนักข่าวตอนหนึ่ว่า....“จริงๆ แล้ว ผมจะเปลี่ยนเป็นเขียน fake news เพื่อสนับสนุนฮิลลารี แล้วใส่โคลนละเลงทรัมป์ให้เละเทะไปเลยก็ได้ แต่เขียนแบบนั้น มันได้เงินไมาก...” เพราะคาเมรอนรู้ดีว่ากลยุทธ์ fake news นั้นใช้กับกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ได้ผลมากกว่ากับกลุ่มผู้สนับสนุนฮิลลารี ซึ่งตรงนี้ทำให้เห็นได้ว่า ถึงแม้คาเมรอนจะเป็นผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน แต่เขาก็ไม่แคร์ถ้าฮิลลารีชนะการเลือกตั้ง ถ้าความพ่ายแพ้ของทรัมป์ มันทำให้เขาได้เงินมากกว่า
ทุกวันนี้ การเมืองอเมริกันกลายการเมืองยุคหลังความจริง (post-truth)อันเนื่องมาจากพฤติกรรมการสร้างข่าวปลอมของคนอย่างนายคาเมรอน การทวิตเตอร์แบบทรัมป์ การไม่สามารถแยกแยะวินิจฉัย ข้อเท็จ-จริง ข่าวสารที่ได้รับในโลกโซเชียลมีเดียได้ว่า ชิ้นไหนเป็นข่าวจริง (fact news) หรือข่าวปลอม (face news) ของคนอเมริกันโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ที่ส่วนใหญ่ติดตามข้อมูลข่าวสารจากช่องทางออนไลน์ รวมไปถึงการรับข่าวสารด้านการเมืองจากสื่อโทรทัศน์ที่มีข้อจำกัดเรื่องความครบถ้วนของข้อมูลข่าวสารและเรื่องราวทั้งหมด
ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้กำลังทำให้การเมืองอเมริกันเข้าสู่ยุคหลังความจริง (post-truth)หรือ ยุคที่ความจริงไม่มีความสำคัญ ถูกบิดเบือนเพราะผู้คนต่างใช้อารมณ์ความรู้สึกมากกว่าใช้เหตุผลและข้อเท็จจริง ไม่มีใครมาใส่ใจอะไรมากกว่าอะไรจริงหรือไม่จริงอีกต่อไป
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าในทศวรรษ 2010s(2010-2019) ที่พึ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ นี้ The NewYork Times ได้ตั้งฉายาสังคมการเมืองอเมริกันในทศวรรษที่ 2010s ว่าเป็น “ทศวรรษแห่งความคลางแคลงใจ” (A Decade of Distrust) โดยก่อนหน้านั้น ในปี 2016 The Oxford Dictionary ได้เลือกคำว่า “post-truth” เป็น Word of the Year 2016 และในปีต่อมาคำว่า “fake news” หรือ “ข่าวปลอม” ถูกเลือกให้เป็นคำแห่งปี 2017 โดย The Collins Dictionary อีกเช่นกัน
ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี