คงจะจำกันได้ หรือคลับคล้ายคลับคลาว่า ในช่วงแรกของรัฐบาลประยุทธ์ชุดที่หนึ่ง ได้มีการสร้างวิมาน วาดฝัน ตั้งเป้าหมายที่เลอเลิศ เกี่ยวกับทิศทางอนาคตประเทศไทย ด้วยคำไทยปนอังกฤษ ดังเช่น
l เศรษฐกิจ 4.0
l เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative economy)
l เศรษฐกิจที่มีอินโนเวชั่นการประดิษฐ์คิดค้นด้านนวัตกรรม
l เมืองอัจฉริยะสมาร์ทซิตี้
l ขีดความสามารถในการแข่งขัน และการผลิตที่มีประสิทธิภาพ (Productivity)
l การเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงด้านคมนาคม(Connectivity)
l การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในหัวเมืองสำคัญติดชายแดน
l การพัฒนาร่วมทุนเขตท่าเรือน้ำลึกและอุตสาหกรรมทรายในเมียนมา
l การลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไม่ให้มีผู้ใดตกหล่น
อีกทั้งก็ให้ความหวังเกี่ยวกับ
l การบริหารจัดการแบบมีธรรมาภิบาล (GoodGovernance)
l การต่อต้านปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น
l การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยการค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การสมานฉันท์ (Reconciliation)
l การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะการยกเครื่องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แต่ที่สังคมได้มา กลับเป็นเพียง
l กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตยถอยหลังเข้าคลอง
l การเพิ่มการกระจุกตัวของอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง
l การขยายตัวของความเหลื่อมล้ำ หรือช่องว่างของความมีความจน
l การเผชิญหน้า พร้อมชนกันทั้งในสภาและนอกสภา ระหว่างฝ่ายเอาประยุทธ์ กับฝ่ายไม่เอาประยุทธ์
จวบจนรัฐบาลประยุทธ์เข้าสู่สมัยที่สองนี้ ก็ยังคงสภาพลืมเลือนคำมั่นสัญญา หรือลืมทำการบ้านใดๆ ที่ตั้งไว้ตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ชุดที่หนึ่ง
ดูแล้วก็น่าเศร้าใจ เพราะเป็นการบริหารงานแบบอยู่ไปวันๆ หนึ่ง แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ถ้าจำต้องแก้หรือแก้แบบข้างๆ คูๆ ไม่อนาทรร้อนใจ ไม่รู้สึกไฟจี้ก้นเพราะฐานที่มั่น มั่นคงยิ่ง ยืนครบ 2 ขาทั้งกองทัพทหารและกองทัพนักการเมืองอำนาจนิยม โดยไม่รู้สึกระคายเคืองกับพวกพรรคอนาคตใหม่ เพียงมีแค่มีเสียงดังๆ กวนประสาทเล่นกันเท่านั้น
รัฐบาลก็เลยลืมการบ้านเก่าๆ ได้อย่างสบายอกสบายใจ ส่วนการบ้านใหม่ๆ ก็คิดกันไม่ออก ไม่ว่าเรื่องค่าเงินบาทแข็งกระทบการไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระทบราคาสินค้าส่งออก อีกทั้งบริษัท โรงงานขนาดกลาง เล็ก ย่อย ก็ค่อยย่อยยับไปเรื่อยๆ เพราะค่าแรงสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โรงงานย้ายออกไปจากไทย อีกทั้งจีนก็ขายตัดราคาและทุ่มตลาดทุกหนแห่ง
ที่ประเทศไทยยังคงอยู่ได้ในทุกวันนี้นั้น ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือฝ่ายรัฐบาลแต่อย่างใดทั้งสิ้น หากแต่เป็นเพราะบรรพบุรุษของเราเลือกทำเลดีตั้งประเทศที่แสนดี อุดมไปด้วยทรัพยากรต่างๆ ภูมิศาสตร์และภูมิอากาศก็ดี ถึงไม่มีรัฐบาลที่มีปัญญา มีฝีมือ มาบริหารงานแต่การท่องเที่ยว อาหารไทย การบริการด้วยใจ และความยิ้มแย้มแจ่มใสของคนไทยต่างๆ เหล่านี้ ก็ส่งผลให้ประเทศไทยก็ประคับประคองตัวเองไปได้โดยอัตโนมัติ
แต่หากจะให้ไทยจะก้าวหน้าไปอย่างโลดแล่นก็คงต้องมีรัฐบาลที่มุ่งทำการบ้านที่ค้างเอาไว้ รวมทั้งตั้งโจทย์ใหม่ๆ มาพัฒนาประเทศเท่านั้น
แต่เมื่อเราได้รัฐบาลที่ฟังไม่เป็น หูไม่ได้ยินตาไม่สนอง สมองดูทึบ จิตอ่อนไหว ก็ถือเป็นกรรม ซึ่งแวดวงวิชาการ แวดวงธุรกิจ แวดวงวิชาชีพ แม้กระทั่งสหภาพแรงงานจะมัวแต่หยุดอยู่นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว คงต้องรวมตัวกันออกมาทำการบ้านของตัวเอง และเรียกร้องให้ฝ่ายรัฐบาลทำการบ้านที่สัญญาค้างเอาไว้กับสังคมไทย
หากรัฐบาลยังคงตีหน้ามึน ทำนิ่งเฉย ไม่ดำเนินการตามคำสัญญาให้เป็นรูปธรรม ก็คงถึงเวลาที่ประชาชนจะให้ผล “สอบตก” แก่ผู้บริหารประเทศได้เสียทีแล้ว
ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า จะหน้าหนาหน้าทนงอมืองอไม้ อยู่แบบไม่ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยไปได้อีกนานกันเท่าไร หรือพร้อมจะวัดความอดทนของประชาชนพลเมือง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี