สังคมไทยวันนี้ หากดูกันผิวเผินก็ยังดูสนุกสนานร่าเริงกันดีอยู่ โดยเฉพาะด้านงานบันเทิง รายการบันเทิงผ่านจอโทรทัศน์ ด้านการส่งเสริมให้บริโภค “ชิมช้อปใช้” ในขณะที่ค่าเงินบาทจะยังคงแพงอยู่ แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังคงไหลมาเทมา แม้จะชะลอลงบ้าง ซึ่งก็เป็นเพราะความที่ประเทศไทยนั้นเป็นสังคมเปิด สังคมแห่งการยิ้มแย้มแจ่มใส นิสัยชอบเอาใจอาคันตุกะของคนไทย ก็ถือเป็นจุดขาย จุดดึงดูด
อันสำคัญยิ่ง ชนิดที่จะหาคนชาติอื่นใดเสมอเหมือนได้
แต่ท่ามกลางความหรรษา ก็ยังแทรกไว้ด้วยความเบื่อ ความเหนื่อยหน่าย ความกังวลใจ และที่สำคัญยิ่งคือ ความแตกแยกที่พร้อมจะเผชิญหน้ากันให้เข้มข้นยิ่งขึ้น
ไทยเราในวันนี้แบ่งออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่ายในความคิด ในค่านิยมชมชอบ ดังเช่น
- การเดินเชียร์ลุง(ตู่) กับการวิ่งขับไล่ลุง(ตู่)
- การเอาทหาร กับการขับไล่ทหาร ออกจากการเมือง
- การกระจุกตัวของอำนาจที่ส่วนกลาง กับการกระจายอำนาจ
- การเป็นรัฐ ราชการเป็นใหญ่ กับการให้ระบบราชการรับใช้ประชาชนพลเมือง
- การสนับสนุนทุนใหญ่เพื่อนำพาประเทศ กับการกระจายโอกาสไปสู่รายเล็กรายน้อย
- การคงความเป็นราชอาณาจักร กับการเปลี่ยนแปลงเป็นสาธารณรัฐ
- การคงกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2560 กับการแก้ไขเพื่อให้มีกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่วางโครงสร้างและเนื้อหาสังคมประชาธิปไตยอย่างเป็นสากล เป็นต้น
ประเด็นทั้งหมดดังกล่าว สามารถย่อลงมาเป็นเรื่องการยึดถือตัวบุคคลเป็นที่ตั้ง และบ่งบอกจุดยืนและแนวคิดทางการเมือง นั่นคือ ฝ่ายเอาลุงตู่ กับฝ่ายเอาทักษิณ (และธนาธร)
แล้วสังคมไทยเราจะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ กันหรือ อยู่กันแบบขัดกันไปขัดกันมาหาเรื่องหาราว โจมตีซึ่งกันและกัน เพื่อเอาชนะกันให้ได้ ในขณะที่ผู้ย่อยยับตัวจริงนั้นคือ คนไทย และสังคมไทยโดยรวม
ที่เป็นอย่างนี้ แล้วจะไปโทษใครได้?
ก็ต้องถามต่อว่า แล้วตอนนี้ใครที่มีอำนาจ ใครที่ทำการยึดอำนาจ รวมทั้งเหตุผลในการยึดอำนาจกัน แต่เอาเข้าจริง ก็มิได้มีการกระทำการสรุปหาเหตุผล ต้นตอ ที่มาที่ไปกันเช่นนั้น จนเมื่อยึดอำนาจกันเป็นครั้งที่สอง ก็ดันกลับกลายไปเป็นการวางกฎหมาย ปูทางให้มีการต่ออำนาจ และสืบทอดอำนาจกัน
เรื่องการจะค้นหาความจริงของการขัดแย้งและการใช้ความรุนแรง เพื่อจะนำไปสู่การสมานฉันท์ อภัยซึ่งกันและกัน นั้นกลับไม่เกิดขึ้น ที่เลวร้ายไปกว่านั้น จนเป็นการซ้ำเติมคนไทยและสังคมไทยก็คือ การเอาเงินของส่วนรวมไปโปรยให้กลุ่มคนบางกลุ่มเพื่อสร้างฐานการเมืองและคะแนนนิยมอีกทั้งยังไปร่วมแรงร่วมใจกับกลุ่มทุน ธุรกิจครอบครัวยักษ์ใหญ่ในการครอบงำเศรษฐกิจชาติ และการมีโครงการยักษ์ใหญ่ที่ขาดตัวเลขหลักฐาน ข้อมูลของความคุ้มทุนและผลตอบแทนและกำไร
หลังการยึดอำนาจ ก็เลยกลายเป็นการดำเนินการเพื่อตอกย้ำอำนาจให้ตนเอง ซึ่งล้วนแล้วเป็นการกระทำเพื่อตนเอง แต่ยังกล้าที่จะมาทวงบุญคุณกับประชาชนว่า เป็นผู้เสียสละ ผู้อุทิศตนเพื่อชาติบ้านเมือง ขณะที่แวดล้อมด้วยบุคคลแบบโจรการเมือง และกลุ่มธุรกิจผูกขาดทั้งหลาย
ที่น่าละเหี่ยใจยิ่งก็คือ มิใช่ว่าฝ่ายต่อต้านการกระทำดังกล่าวจะดีพร้อม ดีงาม นั่นก็เพราะกลุ่มตรงข้ามนั้นดันเป็นพวกอำนาจนิยมเช่นกัน ฝักใฝ่อุดมการณ์เสียงข้างมาก เป็นเผด็จการรัฐสภา ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นักในสาระเนื้อหาของการใช้อำนาจ
ท้ายสุด คนไทยจึงเป็นผู้รับเคราะห์ ถูกมอมเมาให้หลงเชื่อบ้าง ถูกมอมเมาไปกับลัทธิประชานิยม และเคลิ้มไปกับงานบันเทิงลวงโลกทั้งหลาย
ในวันนี้ จึงทำให้รับฟังไม่ได้ทั้งจากฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เพราะต่างไม่สามารถเป็นความหวังให้กับประชาชนชาวไทยได้สักข้าง
ดังนั้น เราคนไทยผู้รักความเป็นราชอาณาจักรแห่งประชาธิปไตย จะมัวนั่งเฉยๆ ละเลยหน้าที่การเป็น “พลเมืองประชาธิปไตย พลเมืองราชอาณาจักรไทยไปเรื่อยๆ เช่นนั้นหรือ?
หรือจะลุกออกมา มารวมตัวกันเป็นภาคประชาสังคมที่แข็งแกร่ง เพื่อเรียกร้องความถูกต้องยุติธรรม รวมทั้งเพื่อคานอำนาจกับฝ่ายการเมืองที่ฉ้อฉล กันเสียเถิด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี