อาจจะยังไม่เหมาะกับกาลเวลา แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เป็นกระบวนการสำคัญที่ฝ่ายนิติบัญญัติใช้ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารตามกลไกของระบบรัฐสภา กลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลการทำงานนี้ได้รับการรับรองไว้โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 151 ที่ให้ สส. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ
ตามกระบวนการรัฐสภาฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรี ย่อมสามารถถูกตรวจสอบได้โดยกระบวนการของรัฐสภาซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นการตรวจสอบที่สำคัญประการหนึ่ง และเมื่อมีการยื่นขออภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นหมายถึงประชาชนได้เกิดการคาดหวังแล้วว่าผู้ที่อภิปรายจะมีประเด็นหรือหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความบกพร่อง ความไม่สุจริต ความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลจนไม่อาจสามารถปล่อยให้บริหารงานได้ต่อไปเพราะจะเกิดความเสียหายต่อประเทศ
จากการยื่นญัตติเพื่อขออภิปรายไม่ไว้วางใจโดยพรรคร่วมฝ่ายค้าน เมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา ได้พบว่าประเด็นส่วนใหญ่ที่มีการยื่นอภิปรายรัฐมนตรีจำนวน 6 คนนั้น ส่วนใหญ่เป็นการกล่าวหาอย่างกว้างมากกว่าจะมีประเด็นอะไรที่สำคัญ และหลายประเด็นที่นำเสนอก็ล้วนแต่เป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านมา และเคยมีการอภิปรายหรือการตรวจสอบมาก่อนแล้วเป็นส่วนใหญ่หรือบางกรณีก็ดูจะเป็นการจับแพะชนแกะ ผูกโยงเป็นเรื่องราว เช่น ประเด็นการเข้าสู่ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี การถวายสัตย์ฯประเด็นของรองนายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ที่ถูกกล่าวหาเรื่องการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทข้ามชาติ เป็นต้น
ก่อนหน้านี้ แกนนำพรรคฝ่ายค้าน เปิดเผยประเด็นหลักที่ฝ่ายค้านจะใช้อภิปรายรัฐบาลโดยใช้ประเด็นคดีภาษีบุหรี่ การแก้ไขกฎหมายศุลกากรและกฎหมายสรรพสามิตเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทข้ามชาติ ซึ่งเชื่อว่าฝ่ายค้านควรจะต้องเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลและรัฐมนตรีเหล่านี้เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร
จากข้อมูลที่สืบค้นได้พบว่าการแก้ไขกฎหมายศุลกากร และกฎหมายสรรพสามิตนั้นได้ถูกริเริ่มตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนๆ เมื่อเกือบ 10 ปีมาแล้ว และผ่านกระบวนการประชาพิจารณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าต่างประเทศ เพราะเป็นการแก้ไขกฎหมายเก่าให้ทันสมัยและสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ รวมทั้งให้ความเป็นธรรมกับผู้อยู่ใต้บังคับกฎหมายทุกคน ทุกหน่วยงานองค์กร เพราะกฎหมายไม่สามารถเลือกปฏิบัติได้
กฎหมายทั้ง 2 ฉบับ น่าจะมีจุดเริ่มต้นและผ่านการพิจารณาของรัฐบาลหลายสมัยรวมทั้งรัฐบาลสมัยพรรคเพื่อไทยแต่ที่ล่าช้ากว่า 10 ปี เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้กระบวนการออกกฎหมายสะดุดหยุดชะงักเป็นช่วงๆ จนในที่สุดผ่านออกมาเป็นกฎหมายได้ในช่วงรัฐบาล คสช.ที่มีเสถียรภาพทางการเมืองยาวนานกว่า 5 ปี
ดังนั้น ประชาชนจึงต้องจับตาดูการทำงานของทั้งฝ่ายค้านว่าจะนำเสนอประเด็นอะไรและรัฐบาลจะสามารถชี้แจงได้ดีขนาดไหน ซึ่งทุกฝ่ายต่างต้องทำการบ้านและเตรียมความพร้อม แต่สิ่งที่เราอยากเห็นมากที่สุดคือประเด็นในการตรวจสอบการทำงานที่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และมุ่งให้เกิดการแก้ไข ปรับปรุง
ข้อบกพร่องของรัฐบาลและแก้ไขปัญหาของประเทศมากกว่าการผูกเรื่องจับแพะชนแกะให้ดูใหญ่โตเพื่อเอาชนะทางการเมือง วันนี้ประเทศกำลังมีปัญหาบอบช้ำจากทั้งฝุ่นพิษ ทั้งไวรัสโคโรนา แต่เรากลับไม่ได้ใช้กลไกของรัฐสภาแก้ปัญหาเรื่องนี้เท่าที่ควร ดังนั้นทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านจงอย่าทำให้ประชาชนต้องผิดหวัง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี