วันจันทร์ ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กรณีเกิดเหตุร้ายที่โคราชได้ก่อเกิดกระแสเรียกร้องให้มีการตรวจสอบในเรื่องธุรกิจสีเทา ที่แอบแฝงอยู่ในกองทัพอย่างกว้างขวาง และเป็นที่มาของการดำริที่จะคืนที่ดินของกองทัพกว่า 1 ล้านไร่ ให้แก่กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง
ถ้าหากว่าที่ดินของกองทัพ 1 ล้านไร่นี้ เป็นต้นเหตุหรือแรงกดดันให้เกิดเหตุร้ายขึ้น ก็อาจต้องพิจารณาต่อไปว่าเป็นต้นเหตุอย่างไรและจะป้องกันแก้ไขอย่างไร
แต่เป็นเรื่องน่าแปลกใจมากที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวตรงกันว่าจากกรณีเหตุร้ายดังกล่าวนั้นทำให้กองทัพจะต้องโอนที่ดินให้แก่กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เป็นเนื้อที่กว่า 1 ล้านไร่ และที่สำคัญ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ถึงขนาดว่าถ้าเตรียมเอกสารหลักฐานที่ดิน 1 ล้านไร่นี้ตั้งแต่วันเกิดเหตุถึงวันนี้ ก็ไม่แน่ว่าจะเตรียมการได้ทัน
รายงานข่าวทางโซเชียลมีเดียระบุว่าจะมีการทำความตกลงเพื่อโอนที่ดินดังกล่าวกันในวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 จึงยิ่งทำให้ต้องสนใจจับตามองว่าเกิดอะไรขึ้น และจะเกิดอะไรขึ้นกับกองทัพในอนาคต
ก่อนอื่นก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่านับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จัดตั้งกองทหารเป็นแบบตะวันตก โดยจัดตั้งกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ขึ้นเป็นครั้งแรก และถือได้ว่าเป็นการปรับปรุงระบบการจัดกองทัพให้เป็นแบบแผนทันสมัยแบบตะวันตกเป็นครั้งแรก
ถึงกับทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งและโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชากรมทหารนี้เป็นพระองค์แรกครั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์นั้นสิ้นพระชนม์ ก็โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงดำรงตำแหน่งดังกล่าว
ตำแหน่งในขณะนั้นใช้เป็นภาษาอังกฤษด้วยว่า Commander in Chief ซึ่งปัจจุบันภาษาอังกฤษคำนี้ก็คือตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมารพระองค์ที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในครั้งกระนั้นพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ก็ทรงสืบทอดความสำคัญดังกล่าวต่อมาและโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ดังกล่าวเป็นพระองค์ที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
นับตั้งแต่มีการจัดตั้งหน่วยทหารเป็นแบบแผนตะวันตกเป็นต้นมา ความจำเป็นในการฝึกอบรมทั้งกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ก็กลายเป็นของคู่กันที่จะขาดเสียมิได้ เพราะการจัดระบบกองทหารแบบตะวันตกนั้นจะเป็นกองทหารประจำ ไม่ใช่ทหารเกณฑ์เมื่อคราวมีศึกสงครามดังที่ได้กระทำมาแต่โบราณอีกต่อไป
และเพื่อให้ทหารได้มีความชำนาญในทุกภูมิประเทศของประเทศไทย จึงได้มีการจัดที่ดินสำหรับกองทัพไว้ในทุกภาคทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพราะนอกจากใช้เป็นที่ฝึกกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว ก็เป็นการใช้พื้นที่เพื่อการจัดตั้งหน่วยทหารที่ต้องมีความเพียงพอต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะในยามที่ประเทศได้พัฒนาและประชากรมากขึ้น
เพราะเหตุที่กำลังพลในการจัดกองทัพแบบใหม่เป็นกำลังพลประจำ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งก็ต้องมีครอบครัวเป็นที่พักอาศัย และจำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับการสวัสดิการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับราชการของกองทัพ เช่น สถานที่ฝึกอบรม สถานที่ต้อนรับแขกของกองทัพ สถานที่ในการประชุมระดับต่างๆ และสถานที่สำหรับปฏิบัติการในราชการทหารมากมายหลายกรณี รวมทั้งการฝึกและการตรวจพลสวนสนามในวาระราชการต่างๆ ด้วย
ดังนั้นรัฐบาลของพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นต้นมาจนถึงยุคหลังๆ นี้ก็ได้มีการจัดที่ดินสำหรับใช้ในราชการทหาร ซึ่งรวมถึงที่ดินกว่า 1 ล้านไร่ ที่กำลังจะถูกโอนไปให้กับกรมธนารักษ์ในครั้งนี้ด้วย
ก็ต้องเข้าใจว่าที่ดินในราชการทหารของกองทัพนั้นหากแม้นว่าถูกโอนไปให้แก่กรมธนารักษ์แล้ว ก็แทบจะไม่มีวันเวลาหรือโอกาสใดที่จะเอากลับมาใช้ในราชการทหารได้อีก ให้ไปศึกษาดูบทเรียนและประวัติศาสตร์การโอนที่ดินของกองทัพให้กับส่วนราชการอื่นและกรมธนารักษ์ที่ผ่านมาทั้งหมดก็ได้
จึงกล่าวได้ว่าโอนไปแล้วก็โอนขาด และในบางกรณีที่กองทัพมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอื่นเพื่อราชการทหารก็ยากเย็นแสนเข็ญกว่าที่จะขอใช้ที่ดินนั้นได้ ย่อมกระทบต่อราชการทหาร และแน่นอนว่ากระทบต่อภารกิจในการพิทักษ์รักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติด้วย
ดังนั้นความคิดเห็นใดๆ ที่จะโอนที่ดินของกองทัพกว่า 1 ล้านไร่ ออกไปจากกองทัพนั้นจึงต้องพิจารณาใคร่ครวญอย่างรอบคอบรัดกุมทั้งกาลปัจจุบันและกาลข้างหน้า
มิฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า “วิญญาณปู่จะร้องไห้เพราะลูกหลานจัญไร” ก็จะแบกรับกันไหวหรือไม่
วันจันทร์นี้แล้ว ถ้าหากข่าวนั้นเป็นความจริง กองทัพก็อยู่ในความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงที่จะต้องโอนที่ดิน ซึ่งปัจจุบันนี้จะมีใครสักกี่คนทราบว่าที่ดินกว่า 1 ล้านไร่นั้น อยู่ที่ไหนบ้าง และมีหน่วยทหารใดใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นบ้างและเพื่อกิจการใด รวมทั้งในปัจจุบันหรือในอนาคตจำเป็นจะต้องใช้ที่ดินนั้นในราชการทหารหรือไม่เพียงใด
ถ้าหากยังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ จำเป็นที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรจะได้ชะลอเรื่องนี้เอาไว้ก่อนจนกว่าจะทำการศึกษาหาข้อมูลที่ครบถ้วน และอย่างน้อยก็ควรให้ประชาชนไทยแม้กระทั่งกำลังพลของกองทัพได้มีโอกาสรับรู้กันบ้าง
ที่น่ากังวลประการหนึ่งก็คือ ในโซเชียลมีเดียระบุว่าเมื่อมีการโอนที่ดินดังกล่าวแล้วจะมีการทำข้อตกลงกับเอกชนให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้วนำรายได้มาแบ่งปันกัน
ช่างรวดเร็วดุจกามนิตหนุ่ม และจำเป็นจะต้องมีคำถามในใจว่าเกิดอะไรขึ้น?

'จาตุรนต์’ยัวะเปลี่ยนม้ากลางศึก ‘เพื่อไทย’ร้าวหนัก!
‘อนุทิน’ลั่นยึดพื้นที่เป้าหมายได้เกือบหมด ประเทศที่3อย่ายุ่ง กราบ2วีรบุรุษเนิน350
ปูพรมกวาดล้าง ต่างด้าวทำผิดก.ม.ทั่วไทย รวบแล้วกว่า1.3หมื่นราย
กทม.จมฝุ่นพิษ ค่าเกิน20พื้นที่ อยู่ในระดับสีส้ม กระทบสุขภาพ
‘ข้างบ้าน’ หลอนสะกดผู้ชมไม่แผ่ว! กวาดรายได้ 80 ล้าน มุ่งหน้าสู่ 100 ล้าน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี