วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศกำลังอยู่ในภาวะที่เรียกว่าหนักหนาสาหัสและน่าห่วงเป็นอย่างยิ่งเพราะมีเรื่องรุมเร้าเข้ามาจากหลายๆ ด้าน เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงปี 2562, ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน, ไวรัสโควิด-19, ภัยธรรมชาติ จากภาวะฝนแล้งข้ามปี,ค่าเงินบาทแข็งทำให้การส่งสินค้าออกลดลงและเงินงบประมาณปี 2563 ออกช้าเพราะตั้งรัฐบาลช้า ฯลฯ ยังผลให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ปี 2562 ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเหลือทั้งปีแค่ร้อยละ 2.4
ทำให้ภาวะเศรษฐกิจซึมยาวจนจะเป็นเศรษฐกิจถดถอยมีสภาพเป็น Economic Recression เหมือนโลกในยุคปี 2473 หรือ 1930 ทำให้ต้องมีการประเมินใหม่ว่าปี 2563 ประเทศไทยจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราแค่ร้อยละ 1.5 ถึงร้อยละ 2.5 เท่านั้นจึงเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขโดยเร็วตามหลักวิชาเศรษฐกิจมหภาคของลอร์ดจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ซึ่งต้องใช้มาตรการผสมระหว่างการเงินผสมกับการคลังควบคู่กันไป
มาตรการทางด้านการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้นำร่องประกาศผ่านคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ไปแล้วคือการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือร้อยละ 1 มาตรการอื่นๆ ก็คือการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปสู่ระบบพร้อมๆ กันหลายๆ วิธีได้แก่ การเพิ่มวงเงินรับซื้อสินค้าทางด้านการเกษตรกรรมอย่างที่ทำกับปาล์มน้ำมัน เช่นเพิ่มราคารับซื้อยางพารา,ข้าวโพด รวมไปถึงผลไม้ต่างๆเพราะผลไม้มีปัญหาส่งออกไปจีนตลาดใหญ่ไม่ได้เพราะไวรัสโควิด-19, การกระตุ้นการใช้จ่ายอื่นๆ,การเพิ่มวงเงินกู้ให้แก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นต้น
ส่วนมาตรการทางการคลังที่รัฐบาลจะต้องทำคือการลดอัตราภาษีหลายๆ ชนิดลงมาพร้อมๆ กันเพื่อเพิ่มปริมาณเงินในตลาด เช่น ชะลอการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาออกไป,การยกเว้นค่าธรรมเนียมสินค้าบางประเภทเป็นมาตรการชั่วคราวเป็นต้น รวมไปถึงการลดภาระภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยบางประเภทเพื่อให้เกิดสภาพคล่องในตลาดเป็นการเพิ่มปริมาณเงินสดหมุนเวียนในตลาดให้มีมากกว่าปกติ
สำหรับการแก้ไขภาวะฝนแล้งทั่วประเทศนั้นก็ต้องเร่งเพิ่มมาตรการต่างๆ ได้แก่ การเร่งขุดลอกห้วยหนองคลองบึงเพื่อเตรียมการรองรับจังหวะที่ฤดูฝนใหม่ที่กำลังจะเข้ามาจะทำให้ประเทศมีแหล่งน้ำมากพอใช้ในฤดูกาลเพาะปลูกปีใหม่เป็นการฟื้นฟูสภาวะแห้งแล้งในปี 2562 ที่ผ่านมาด้วย
อีกปัญหาหนึ่งที่จะกอบกู้ภาวะเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดีอยู่ที่การบริหารของธนาคารแห่งประเทศไทยนั่นคือการพิจารณาให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐบาลและธนาคารพาณิชย์ทั้งของไทยและต่างประเทศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ลูกค้าชั้นดีลงมาบ้างเพราะปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายเหลือร้อยละ 1
แต่ธนาคารลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้น้อยลงไปบ้างได้หรือไม่ จากร้อยละ 6.5 หรือ 6.25 ให้เหลือแค่ร้อยละ 5.5 หรือ 5.75 ทำให้ไม่เป็นภาระและเป็นการกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจให้ลูกค้าได้พอลืมตาอ้าปากได้บ้างค่อยขึ้นดอกเบี้ยภายหลัง

เปิดใจ! อาสากู้ภัยนำข้าวแจกชาวบ้าน ถูกน้ำพัดหาย ยันไม่ท้อ กลับมาช่วยต่อ ส่งข้าวกล่องใหม่ 200 ชุด
'HP'เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่6,000ตำแหน่งทั่วโลก หวังลดค่าใช้จ่ายรับยุคของAI
โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ 'เขมวันต์ สงคราม' เป็นพลเรือเอก และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
หมอสมเกียรติ คลินิกดังกระบี่ เปิดคลินิกรักษาฟรี2วัน ส่งต่อทุกบาทช่วยน้ำท่วม
‘อนุทิน’เยี่ยมศูนย์ อพยพ ม.อ.หาดใหญ่ สั่งเร่งระดมช่วยคนติดค้าง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี