“ศีลธรรมของยุวชน คือสันติภาพของโลก” เป็นคำสอนของพระอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
ท่านพุทธทาสภิกขุได้แสดงธรรมเทศนา ชี้แนะข้อคิด เปิดเผยให้เห็นแนวทางที่ถูกต้อง โดยท่านทำให้เห็นว่า ธรรมะเท่านั้นเป็นเครื่องช่วยโลก และใช้ได้กับทุกระบบการเมือง กฎหมาย การปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา ฯลฯ อันจะทำให้เกิดความสงบสุขและสันติภาพได้อย่างแท้จริง
คุณสมเจตน์ ผิวทองงาม ได้ทำงานวิจัยที่ค้นคว้าคำสอนของท่านพุทธทาสมาอย่างละเอียด ลึกซึ้ง ตีพิมพ์บทความวิจัยเรื่อง “พุทธทาสภิกขุกับการแนะแนวทางการดำเนินชีวิต” ระบุว่า พุทธทาสภิกขุได้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่เพื่อนมนุษย์ในเรื่องของหน้าที่สำหรับเด็ก นักศึกษา ผู้สูงอายุ ฯลฯ รวมไปถึงนักการเมือง
บางตอน ระบุไว้น่าสนใจ ดังนี้
1. เด็ก
พุทธทาสภิกขุให้ความสำคัญกับเด็กเป็นอย่างมาก ท่านเชื่อว่า “เด็กๆทั้งหลาย (เยาวชน) เป็นผู้สร้างโลกในอนาคต” ผลงานด้านปาฐกถาธรรมและการเขียนวรรณกรรมของท่านพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเยาวชนไว้มากมาย เช่น ชุดธรรมโฆษณ์ชุดเยาวชนกับศีลธรรม ซึ่งพูดเกี่ยวกับเรื่องของเยาวชนล้วนๆ โดยกล่าวถึงปัญหาของเยาวชน ความสำคัญของเยาวชน การสร้างเยาวชนในปัจจุบัน และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเยาวชน เป็นต้น
ท่านได้พูดถึงเยาวชนในทุกมิติทั้งในสภาพปัญหาความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับเยาวชน ตลอดจนการแนะแนวถึงสิ่งที่ควรนำมาใช้เพื่อพัฒนาเยาวชนให้มีความสมบูรณ์แบบ นั่นคือ เรื่องศีลธรรม
พุทธทาสภิกขุกล่าวถึงสภาพปัญหาของเด็กไว้ว่า ปัญหาของเด็ก คือ เด็กยังรู้จักตัวเองน้อยเกินไป กล่าวคือ ไม่รู้ว่าชีวิตของตนเองมาจากใคร เป็นต้น และเมื่อรู้จักตัวเองน้อยเกินไปซึ่งแม้แต่บุญคุณของพ่อแม่ก็ไม่รู้จัก แล้วจะรู้จักตัวเองได้อย่างไร ปัญหาเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจากสาเหตุหลักๆ 3 ประการ คือ
(1) เยาวชนไม่ได้รับสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง
(2) เยาวชนไม่ได้รับการศึกษาอบรมที่ถูกต้อง
และ (3) เยาวชนไม่ได้รับความร่วมมือหรือโอกาสที่ถูกต้อง
ดังนั้น ในการแนะแนวทางการดำเนินชีวิตที่ดีสำหรับเด็กนั้น พุทธทาสภิกขุ (2552 – 2553 : 97 - 102) จึงเน้นหนักในเรื่องของการมีศีลธรรม โดยเชื่อว่า ศีลธรรมเป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนาในโลกที่เหมาะสมแก่พวกเด็กที่จะร่วมกันสร้างโลก
2. นักศึกษา
พุทธทาสภิกขุ (2521 : 56 - 57) ได้แนะแนวหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของนักศึกษาไว้ว่า ชีวิตนักศึกษาที่แท้จริงจะต้องเป็นไปในลักษณะที่ใกล้ชิดบรมธรรมยิ่งขึ้น คือ ให้เป็นตัวของตัวเองโดยธรรม ไม่ใช่เป็นโดยกิเลส โดยมานะทิฏฐิ หรือเป็นตัวของความละเมอเพ้อฝันไปตามความนิยมของชาวโลก หรือของแผนการศึกษาของชาวโลกที่หลับตาเดินไปไหนก็ไม่รู้ ไม่ไปสู่จุดบรมธรรม
ชีวิตประจำวันของนักศึกษาจะต้องเติมเต็มอยู่ด้วยการศึกษา 4 อย่าง คือ พุทธิศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา และหัตถศึกษา และจะต้องถูกต้องด้วย อย่างเช่น เรื่องพุทธิศึกษา วิชาอาชีพเป็นพุทธิศึกษา ให้พุทธิศึกษาเป็นแสงสว่างของชีวิตตลอดชีวิตจึงจะถูกต้อง และความถูกต้องนั้นต้องอยู่ในรูปของระบบหนึ่งที่เรียกว่า กินอยู่อย่างต่ำ (Plain Living) และมุ่งกระทำอย่างสูง (High Thinking)
คำว่า กินอยู่อย่างต่ำ หมายถึง กินอยู่พอดี เช่น กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นต้น การกินอยู่อย่างต่ำอย่างง่ายนี้ เพื่อไม่ให้โอกาสแก่กิเลสนั่นเอง
ส่วนคำว่า มุ่งกระทำอย่างสูงนั้น หมายถึง มุ่งหมายสูง มุ่งถึงบรมธรรม บรมธรรมเป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือ หมดตัวกู ไม่มีตัวกู เมื่อหมดตัวกูแล้วก็จะทำอะไรได้ทุกอย่างที่เป็นบรมธรรม มีความสุขเต็มที่ มีความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ ซึ่งทำหน้าที่เพียงเพื่อหน้าที่และสุดท้ายมีความรักสากลได้จริง (พุทธทาสภิกขุ. 2521 : 66 - 69)
ดังนั้น นักศึกษาในมหาวิทยาลัยจะต้องเป็นผู้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ แล้วหน้าที่นี้ก็ต้องเป็นความถูกต้อง บริสุทธิ์ ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว การศึกษาจึงต้องเป็นการศึกษาที่ถูกต้อง ให้มีพุทธิปัญญาที่ถูกต้อง จริยศึกษาที่ถูกต้อง พลศึกษาที่ถูกต้อง หัตถศึกษาที่ถูกต้อง นั่นคือ หน้าที่
ทุกคนมีหน้าที่แต่เพียงทำหน้าที่ให้ถูกต้อง สิ่งต่างๆ ก็จะเป็นไปเอง แล้วก็ต้องทำต่อไปเพื่อให้ได้สิ่งสูงสุด ไม่ใช่ทำทุกอย่างเพื่อเงินแล้วเอาเงินมาหาความสุขทางเนื้อทางหนัง เหมือนความใฝ่ฝันของคนหนุ่มสาวสมัยนี้ ทั้งที่เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยหรือไม่เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยก็ตาม เพราะถูกการศึกษาของโลกแบบผิดๆ ชักจูงไปผิดๆ จึงกลายเป็นผู้บูชาในเรื่องของวัตถุนิยม (พุทธทาสภิกขุ. 2515 : 147)
3. นักการเมือง
การแนะแนวทางการดำเนินชีวิตสำหรับนักการเมืองนั้น พุทธทาสภิกขุได้ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าว่า “เป็นนักการเมืองชั้นสุดยอด” เพราะพระพุทธองค์ทรงมุ่งหมายทรงพยายามอย่างยิ่งในอันที่จะจัดโลกให้มีความผาสุกโดยไม่ต้องใช้อาชญา พระองค์พยายามทำเรื่องการเมืองให้เกิดสันติสุขสันติภาพแก่คนทั้งหมดโดยไม่ต้องใช้อาชญา
พระองค์ทรงบอก ทรงชี้ทางอยู่ตลอดเวลา คือ พยายามทำบ้านเมืองทุกๆ ที่ ให้เกิดสันติภาพ โดยไม่ต้องขัดแย้งกับใคร ดังนั้น พุทธทาสภิกขุ (2548 : 49) จึงได้แนะแนวหลักประพฤติปฏิบัติสำหรับนักการเมืองไว้ว่า “ขอให้นักการเมืองทั้งหลายในโลกนี้มองเห็นธรรมะในฐานะเป็นลัทธิการเมือง หรือมองเห็นลัทธิการเมืองนั้นว่า เป็นตัวธรรมะโดยแท้จริง แล้วเราก็จะมีธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองโลก ธรรมะซึ่งจะขจัดกิเลสอันเป็นดังยาเสพติดทั้งหลายเสียได้นั้น ก็จะมาเป็นเครื่องคุ้มครองโลก เพราะธรรมะที่เป็นการเมืองนั้น จะทำให้โลกพ้นจากกิเลสความชั่วร้าย ความเลวทราม ความเห็นแก่ตัวกู-ของกูโดยส่วนเดียวนั้นออกไปเสียได้”
และในการเป็นนักการเมืองที่ดีนั้น ถ้านักการเมืองเป็นนักการเมืองที่มีอตัมมยตา เขาก็เป็นสัตบุรุษ สภาก็เป็นสภา เพราะมีสัตบุรุษมานั่งกันเต็มสภา ผู้ที่มีความคงที่อยู่ในความถูกต้องเรียกว่า อตัมมยตา ก็ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาตามธรรมชาตินิสัยสันดานก็เป็นอย่างนั้น คือมีปกติวิสัย ปิดทองหลังพระไม่อยากเอาหน้าเอาตา และไม่กระทบกระทั่งใคร ถ้าเขาอยากดี อยากเด่น อยากโด่งอยากดัง ก็จะเกิดการกระทบรอบด้าน
ดังนั้น ทุกคนที่เป็นนักการเมือง ต้องสมัครเป็นผู้ปิดทองหลังพระ อธิษฐานจิตเป็นผู้ปิดทองหลังพระ ไม่มีความเห็นแก่ตัว รักที่จะปิดทองหลังพระ ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความถูกต้อง หรือเห็นแก่ผู้อื่น (พุทธทาสภิกขุ. 2544 : 51)
4. การเมือง
พุทธทาสภิกขุ (2529 : 34) มองปัญหาเกี่ยวกับการเมืองในปัจจุบันนี้ว่า มีประชาธิปไตยไม่เต็มใบ เพราะไม่มีศีลธรรมเป็นรากฐาน ถ้ามีศีลธรรมเป็นรากฐาน ประชาธิปไตยก็เต็มใบ มีความสงบสุขหรือสันติสุขทุกชั้น
ระบบอัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย เป็นระบบที่ใช้ไม่ได้ เพราะว่าไม่มีศีลธรรม ถ้ามีศีลธรรมก็ใช้ได้
ระบบนายทุน ระบบจักรวรรดินิยมอะไรก็ตาม จะใช้ไม่ได้เพราะไม่มีศีลธรรม
ดังนั้น ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ต้องจัดให้ศีลธรรมกลับมา
พุทธทาสภิกขุ (2537 : 17) กล่าวย้ำว่า ศีลธรรมนั้น คือ ปัจจัยแห่งสันติภาพ ศีลธรรมตั้งรากฐานอยู่บนความรักผู้อื่น จึงไม่มีอันตรายแก่ใคร การมีประชาธิปไตยที่มีความรักกันและกันเป็นศูนย์กลางเพราะทุกคนยอมรับและถือกันโดยวิญญาณและโดยเจตนารมณ์โดยส่วนลึกว่า ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จึงไม่เกิดปัญหา ฉะนั้น ประชาธิปไตย ก็คือ ธรรมะ หรือศีลธรรม ตัวประชาธิปไตยนั้น ก็คือ ตัวธรรมะบทหนึ่ง ข้อหนึ่งเป็นศีลธรรมอันหนึ่ง เพราะเหตุว่าเป็นปัจจัยแห่งสันติภาพ
ดังนั้น พุทธทาสภิกขุ (2530 : 410 - 411) จึงได้เสนอระบบการปกครองที่เป็นธัมมิกประชาธิปไตย คือ เป็นประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยธรรม มีธรรมะเป็นหลัก มีความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนที่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ธรรมะ มีธรรมะเป็นหลัก แล้วโลกจะมี
สันติภาพ
จะเห็นได้ว่า พุทธทาสภิกขุมุ่งเน้นที่จะแนะแนวในเรื่องของการมีศีลธรรมในระบบการเมือง เพราะถ้าไม่มีศีลธรรมกำกับการเมือง การเมืองจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด อีกทั้ง เรื่องการเมืองนั้นต้องเป็นเรื่องของความไม่เห็นแก่ตัว จึงจะเป็นการเมืองที่งดงาม คือ การเมืองต้องตั้งฐานอยู่บนความไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี