“โทษคนอื่น คืออาหาร หวานโอชะ
ใส่ใจจะ จ้องจับ นับไม่ไหว
มีความสุข กับความเสื่อม กระเพื่อมไว
คือหลักใจ ของพาลชน คนอัปรีย์
รู้จักเตือน ตัวตน ด้วยตนก่อน
ไม่คลายคลอน ฝึกตน ไม่บ่นหนี
ดูตนออก บอกตนได้ ใช้ตนดี
คือหลักที่ บัณฑิตผอง ท่านมองตน”
ของ “ว.วชิรเมธี”
ยกกลอนบทนี้มาให้ได้อ่านกันในวันนี้ก็เพราะว่า บ้านเมืองทุกวันนี้ยังถูกครอบงำด้วยสิ่งเลวร้ายหลายอย่าง เพราะมักจะโทษไปที่คนอื่นหรือโทษนั่นโทษนี่ตลอดเวลาว่าเป็นผู้ทำขึ้น แต่ไม่ค่อยจะโทษตัวเองหรือมองที่ตัวเองว่าเป็นอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า
การรู้จักมองตัวเองจะช่วยให้ไม่ทำเลวอย่างคนอื่น
บ้านเมืองของเราต้องยุ่งยากวุ่นวาย ผู้คนมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายฆ่าฟันซึ่งกันและกันในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ก็เพราะการกระทำของคนไม่ดีที่มีอำนาจและขาดองค์คุณแห่งความดีในตัว ชอบประพฤติมิชอบ โง่แกมหยิ่งเพราะคิดว่าตัวเองแน่กว่าคนอื่น เบียดแทรกเข้าควบคุมทุกอย่างไว้ในอำนาจ ไม่ว่าอำนาจทางการเมือง อำนาจทางเศรษฐกิจ อำนาจทางทหารและตำรวจตลอดจนอำนาจในการบริหารจัดการระบบราชการในกระทรวงทบวงกรมต่างๆไว้ในมือของตนและพวกของตนฝ่ายเดียว แปรเปลี่ยนผลประโยชน์แห่งชาติซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการบริหารปกครองบ้านเมือง มาเป็นผลประโยชน์แห่งตนและหมู่คณะจนทุกอย่างต้องย่อยยับป่นปี้มาถึงทุกวันนี้ ก็เพราะคนพวกนี้เป็นคนที่ไม่เคยมองที่ตัวเองเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นคนอย่างไร คอยโทษคนอื่นตลอดเวลา
ต้องกลายเป็นพาลชนคนอัปรีย์หนีหัวซุกหัวซุนไปในที่สุด
คนไม่ดีที่ได้อำนาจไปใช้ก็มักจะเป็นอย่างนี้ ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อนไปทุกหัวระแหง เป็นเรื่องสำคัญที่คนทั้งหลายโดยเฉพาะคนมีอำนาจต้องรู้จักนำมาเตือนใจตน เพราะ “ความสุขกับความเสื่อมนั้นกระเพื่อมไหว” อย่างที่ “ท่าน ว.วชิรเมธี” สอนไว้ตามบทกลอนข้างต้น เพื่อมิให้ต้องกลายเป็น “พาลชนคนอัปรีย์หนีหัวซุกหัวซุน” อย่างไอ้คนนั้นอีก
มีอำนาจแล้วต้องรู้จักใช้อำนาจให้เป็น
และต้องรู้จักมองตัวเองตลอดเวลาในการใช้อำนาจ
เลิกตอดโน่นตอดนี่ด้วยอำนาจที่ใช้ไปอย่างคนกระหาย นำความสงบสุขและความเรียบร้อยให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทำให้คนไทยต้องฆ่ากันเอง
พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสต่างๆอันทรงคุณค่าก็ได้พระราชทานแก่คนไทยมาโดยตลอด เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จ
โดยเฉพาะพระบรมราโชวาทเมื่อปี พ.ศ.2512 นั้น เป็นพระบรมราโชวาทที่เตือนความทรงจำของคนไทยทุกคน ให้ตระหนักถึงการปกครองบ้านเมืองว่าควรช่วยกันอย่างไรบ้านเมืองจึงจะเจริญก้าวหน้าหรือดีขึ้น โดยมีความว่า
“ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดีไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความวุ่นวายได้”
จากปี พ.ศ.2512 จนถึงปี พ.ศ.นี้ พระบรมราโชวาทดังกล่าวนี้ก็ยังเหมาะสมแก่กาลสมัย ในเรื่องของการส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจ ซึ่งยังเป็นเรื่องสำคัญและเหมาะสมถูกต้องที่สุดในเวลานี้
บ้านเมืองขณะนี้เป็นอย่างไรนั้น พัดลมยังส่ายหน้า
ดีขึ้นหรือเลวลงหรือยังไม่ดีอย่างที่ต้องการอยู่ที่คน
เรามีการปฏิวัติรัฐประหารขับไล่คนไม่ดีออกไปด้วยเหตุใดนั้นทุกคนรู้ดี การแก้ไขบ้านเมืองให้ดีขึ้นตามที่ทุกคนต้องการนั้นเป็นอย่างไรทุกคนมองเห็น เราได้ช่วยกันควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจได้จริงหรือ การทุจริตคดโกงยังคงมีอยู่ไม่ได้หายไปไหนจริงหรือเปล่า
การบริหารราชการแผ่นดินยังมีผลประโยชน์ทับซ้อนเหมือนที่ผ่านๆมาจริงหรือไม่ คนโกงยังลอยหน้าลอยตาเต็มไปหมดแทบทุกวงการเพราะเข้าถึงคนมีอำนาจจริงหรือ
นิติรัฐ นิติธรรม ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการผดุงความดีงาม และผดุงความถูกต้องชอบธรรมของบ้านเมืองนั้น มีการละเลยกันมากน้อยแค่ไหน เฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างหมู่พวกเดียวกัน
ระบบราชการอันเป็นกำลังสำคัญในการทำงานให้ประชาชนนั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบราชการฝ่ายพลเรือน ฝ่ายตำรวจ และฝ่ายทหาร นั้น ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ได้ การก้าวก่าย แทรกแซง จากการใช้อำนาจที่เหนือกว่านั้น ยังเป็นไปอย่างเดิมหรือดีขึ้นหรือไม่นั้นทุกคนรู้ดี
การเมืองภาคประชาชนถูกคุกคาม แม้การแสดงออกบางอย่างที่ต้องการให้มีการแก้ไข ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แต่ถูกปิดกั้นจากผู้มีอำนาจรัฐด้วยเหตุผลว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้น ทั้งๆที่ไม่ได้ก่อความรุนแรงใดๆขึ้นเลยนั้น ยังมีอยู่หรือไม่นั้น ทุกคนรู้ดีแก่ใจ
อ่านชื่อเรื่องข้างต้นนี้อีกครั้งว่าตัวเองเป็นอย่างไร
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี