เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2563 สื่อมวลชนรายงานข่าวสั้นๆว่า ศาลแพ่งถนนรัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา
คดีที่ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) (SBCT) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME BANK) เป็นจำเลย
เรียกค่าเสียหายตามสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate/IRS) บนบัตรเงินฝากชนิดดอกเบี้ยลอยตัว (FRCD) จำนวนทุนทรัพย์ ประมาณ 6,000 ล้านบาท
คดีนี้เมื่อปี 2558 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต่อมา ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย)ยื่นอุทธรณ์
22 มิถุนายน 2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ SME BANK ชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง
ล่าสุด ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
นั่นคือ พิพากษาให้ “เอสเอ็มอี แบงก์” ต้องชดใช้ค่าเสียหายกว่า 6 พันล้านบาท!
รายงานข่าวระบุต่อไปว่า ขั้นตอนต่อไป “เอสเอ็มอี แบงก์” จะดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยต่อรองรายละเอียดกับทางธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย)ถึงแนวทางปฏิบัติ และขั้นตอนการดำเนินการ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน
สุดท้าย หากฝ่ายจำเลยยังไม่ชำระหนี้ ขั้นตอนต่อไปก็จะเข้าสู่การขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อติดตามทรัพย์สินในการชำระหนี้ตามผลคำพิพากษาฎีกา
1. “เอสเอ็มอี แบงก์” เป็นสถาบันการเงินของรัฐ เพราะฉะนั้น ถ้าต้องจ่ายเงิน 6 พันล้านบาท ก็ไม่พ้นเป็นภาระการเงินการคลังของแผ่นดิน
เงิน 6 พันล้านบาท ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ จึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
2. คดีนี้ เป็นความขึ้นโรงขึ้นศาลกันมาตั้งแต่ช่วงปี 2551
เบื้องต้น ได้สืบค้นข้อมูลย้อนหลังเพิ่มเติม
พบว่า สำนักข่าวอิศรา ได้เคยมีรายงานสกู๊ปเกี่ยวกับคดีนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
ขอสรุปเป็นข้อมูลเบื้องต้น ตั้งเป็นข้อสังเกต เพื่อประกอบการติดตามต่อไปในอนาคต ดังนี้
2.1 คดีมีทุนทรัพย์รวมประมาณ 6,000 ล้านบาท
เรื่องเกี่ยวพันกับการออกบัตรเงินฝาก (FRCD) ของ ธพว. (เอสเอ็มอีแบงก์) เมื่อปี 2549 จำนวน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 11,535 ล้านบาท (ตามอัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น)
พบว่า มีความไม่ปกติใน 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนการคัดเลือกตัวแทนจำหน่าย (Underwriter) และขั้นตอนการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยง โดยมีการเพิ่มข้อกำหนดพิเศษเข้าไปในภายหลังในสัญญาป้องกันความเสี่ยง ซึ่ง ธพว. มีข้อเสียเปรียบอย่างมาก และเป็นเหตุให้ต่อมาในปี 2550 ธพว.ตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา (ตามข้อกำหนดพิเศษที่เพิ่มเข้าไปในภายหลัง)
ทำให้คู่สัญญาคือ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อศาลแพ่งเป็นทุนทรัพย์ที่ฟ้องคดีประมาณ 6,000 ล้านบาท ในปี 2551
ศาลแพ่ง ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นได้ใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 8 ปี
พิพากษาเมื่อปลายปี 2558 ให้ ธพว. เป็นฝ่ายชนะคดี โดยฟังว่าสัญญาที่ทำกันระหว่างคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นโมฆะ เนื่องจากการเพิ่มข้อกำหนดพิเศษเข้าไปในภายหลังที่เป็นเหตุให้ ธพว. ต้องจ่ายค่าปรับ คณะกรรมการธนาคารของ ธพว. ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทน ธพว. ไม่ได้รับรู้ด้วย นิติกรรมจึงเป็นโมฆะ ธพว. จึงไม่ผูกพันต้องจ่ายค่าปรับตามสัญญา
ต่อมา ในต้นปี 2559 ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ได้ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ได้ใช้เวลาพิจารณา 1 ปีเศษ และได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2560 ให้ ธพว. เป็นฝ่ายแพ้คดี
2.2 ธพว.ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 พร้อมกับเพิ่มข้อกำหนดพิเศษว่าหากอัตราดอกเบี้ย LIBOR หลุดกรอบที่ตกลงกันไว้ ธพว.ต้องจ่ายค่าปรับ 8.5 % ของเงินต้นบน FRCD เข้าไปในภายหลัง โดยเพิ่มข้อกำหนดพิเศษสำหรับ FRCD จำนวนครึ่งหนึ่ง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 และเพิ่มข้อกำหนดพิเศษ สำหรับ FRCD ส่วนที่เหลืออีก 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือนสิงหาคม 2549
ต่อมาในปี 2550 เกิดวิกฤตการณ์ซับไพร์ม ทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินทั่วโลกลดต่ำลง และอัตราดอกเบี้ย LIBOR หลุดกรอบล่างตามที่ ธพว.และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ตกลงกันไว้ ทำให้ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เรียกเก็บเงินค่าปรับจาก ธพว. ซึ่งขณะนั้นเป็นจำนวนเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท
คณะกรรมการธนาคารชุดใหม่ของ ธพว.ที่เข้าไปทำหน้าที่ต่อเนื่องจากคณะกรรมการธนาคารชุดที่อนุมัติให้ ธพว.ออก FRCD ไม่อนุมัติให้จ่ายค่าปรับดังกล่าว เนื่องจากมีข้อสงสัยว่าการออก FRCD และการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงในลักษณะที่ ธพว. มีข้อเสียเปรียบมากเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องปกติ โดยน่าจะมีการกระทำทุจริต และหากพบว่ามีการกระทำทุจริตจะได้นำไปใช้เป็นเหตุผลในการแจ้งการเป็นโมฆะของสัญญา และไม่จ่ายค่าปรับให้กับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)
คณะกรรมการธนาคารจึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยมีนายสมชัย สัจจพงษ์ (ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังในขณะนั้น)ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารของ ธพว. เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง
การสอบสวนครั้งนั้นทำอย่างเร่งรีบ เพื่อนำผลการสอบสวนไปใช้เป็นข้อต่อสู้กับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) โดยผลการสอบสวนสรุปว่า กระบวนการคัดเลือก Underwriter มีการกระทำที่ผิดปกติหลายกรณี ส่วนการเพิ่มข้อกำหนดพิเศษเข้าไปในสัญญาป้องกันความเสี่ยง เป็นการกระทำที่นอกเหนือจากมติที่ประชุมของคณะกรรมการธนาคาร และมีการปกปิดข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการธนาคาร โดยพบผู้กระทำทุจริตที่มีความผิดวินัยร้ายแรงในขณะนั้น 4 คน จึงได้นำเอาผลการสอบสวนไปใช้เป็นเหตุผลในการแจ้งการเป็นโมฆะของสัญญาแต่งตั้ง Underwriter กับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดและการเป็นโมฆะของสัญญาป้องกันความเสี่ยง กับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) โดยยืนยันไม่ชำระเงินค่าปรับให้กับ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการธนาคาร ได้มีคำสั่งไล่ออกรองกรรมการผู้จัดการที่ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่การเงิน (Chief FinancialOfficer หรือ CFO) และผู้บริหารในสายงานบริหารเงินและความเสี่ยงของ ธพว. รวม 4 คน
หลังจากนั้น ได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อปี 2551
ปัจจุบัน ยังไม่ทราบผลการวินิจฉัยชี้ขาด
2.3 ต่อมา ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ธพว. ต่อศาลแพ่ง จำนวน 3 สำนวน ในปี 2551 และ ปี 2552 ศาลแพ่งมีคำสั่งให้รวมสำนวน
หลังจากนั้น ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 ยกฟ้อง
โดยฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ในขั้นตอนการคัดเลือก Underwriter ซึ่งถือเป็นการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ มีความไม่สุจริต และในขั้นตอนการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยง ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องของ ธพว. ปกปิดข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการธนาคาร โดยคณะกรรมการธนาคารไม่รู้ถึงข้อกำหนดพิเศษที่เพิ่มเติมเข้าไปในสัญญาป้องกันความเสี่ยง นิติกรรมจึงเป็นโมฆะ ธพว.ไม่ต้องชำระหนี้ตามฟ้อง
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2559 จนเป็นที่มาของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กลับคำพิพากษาศาลแพ่ง ให้ ธพว.ต้องชำระหนี้กว่า 6,000 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย
ก่อนจะมาถึงคำพิพากษาศาลฎีกา ให้ชดใช้แก่ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ในที่สุด
3. ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจอีกพอสมควร...
คำถามใหญ่ๆ คือ ใครคือคนที่บงการให้มีการทำสัญญาและมีการเพิ่มข้อกำหนดพิเศษเมื่อเดือนมิ.ย.-ก.ค. 2549 กระทั่งนำมาสู่“ค่าโง่” เสียหายเละเทะ
มีฝ่ายการเมืองตัวบิ๊กๆ ที่ยังไม่ถูกกระชากหน้ากากออกมาด้วย หรือไม่?
นำมาสู่เวรกรรมของประเทศไทย ที่ต้องมารับภาระสะสางค่าโง่ก้อนใหญ่ต่อไปอีกแล้ว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี