เมื่อประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติเชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายในสังคม โดยปัญหานี้ปรากฏเป็นรูปธรรมมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 ก็ทำให้คนไทยได้เห็นถึงระดับสติปัญญาของนักการเมืองจากทุกพรรคในการแก้ปัญหาเชื้อโรคนี้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น และทำให้จับได้ว่านักการเมืองรายใดจากพรรคไหนแก้ปัญหาด้วยความไร้สติ สิ้นปัญญา หรือว่าแก้ปัญหาแบบละเลงขนมเบื้องด้วยปากไปวันๆ
นับตั้งแต่วันแรกที่สังคมไทยเริ่มรับรู้ปัญหาของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประชาชนไทยก็ได้เห็นมาโดยตลอดว่านักการเมืองคนไหนบ้างที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหานี้อย่างจริงๆ จังๆและได้ยังเห็นอีกว่านักการเมืองบางคนนั้นไม่เคยให้ความสำคัญใดๆ กับการแก้ปัญหานี้แม้แต่น้อยในวันแรกที่เกิดปัญหา แต่ครั้นเมื่อปัญหาได้ระเบิดจนกลายเป็นภัยพิบัติระดับชาติไปแล้ว ก็กลับได้เห็นนักการเมืองจำนวนไม่น้อยออกมาโหนกระแสเชื้อไวรัสโควิด-19 กันเป็นทิวแถว โดยบางรายออกมาโหนกระแสเพื่อโจมตีรัฐบาล ทั้งๆ ที่นักการเมืองรายนั้นก็ไม่ได้มีอะไรดีงามมากไปกว่ารัฐบาลเลยแม้แต่น้อย
น่าสังเกตว่านักการเมืองทุกคน ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ต่างก็บอกว่าต้องการแก้วิกฤติโควิด-19 แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่านักการเมืองทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับวิกฤตินี้ ทั้งๆ ที่ในยามเกิดภัยพิบัติเช่นนี้ นักการเมืองทุกคนน่าจะให้ความสำคัญกับความอยู่รอดปลอดภัยของประชาชนก่อนเป็นอันดับแรก มีคำถามว่าทำไมนักการเมืองฝ่ายต่างๆ จึงไม่สามารถจับมือร่วมกันทำงานเพื่อความปลอดภัยของประชาชนได้ มูลเหตุที่ทำให้คนกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถทำงานร่วมกันได้เพราะว่ามีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน หรือเป็นเพราะว่าไม่สามารถทำงานการเมืองร่วมกันได้ เพราะไม่สามารถแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกันได้
มีคำถามว่า การที่นักการเมืองจะทำงานเพื่อประชาชนได้นั้นต้องมีอำนาจรัฐอยู่ในกำมือเท่านั้นหรือถ้าหากเป็นฝ่ายค้านแล้วไม่สามารถทำงานเพื่อประชาชนได้ ใช่หรือไม่ หรือว่าหน้าที่สำคัญของฝ่ายค้านคือต้องล้มล้างรัฐบาลให้พังพินาศไปเท่านั้น ส่วนรัฐบาลนั้นก็ไม่ยอมรับฟังข้อเสนอแนะใดๆ จากฝ่ายค้านเลยใช่หรือไม่ ถึงแม้ข้อเสนอแนะของฝ่ายค้านจะควรแก่การรับฟังไว้เพื่อพิจารณาก็ตาม หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์กับการมีนักการเมืองพรรค์อย่างนี้
อย่างไรก็ตาม มีผู้เสนอทางออกเพื่อแก้วิกฤติโควิด-19 ที่น่าสนใจอย่างมากประการหนึ่งคือการพิจารณาทบทวนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เป็นกรณีพิเศษ โดยตัดลดเงินงบประมาณของทุกกระทรวง แล้วนำเงินไปช่วยเหลือประชาชนที่ต้องเผชิญกับวิกฤติไวรัสโควิด-19
ในที่นี้คงไม่จำเป็นต้องกล่าวย้ำหรือกล่าวซ้ำอีกว่า กระทรวงใดได้เงินงบประมาณประจำปีมากหรือน้อยเพียงใด แต่สิ่งที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วนคือทบทวนเงินงบประมาณของทุกกระทรวงโดยทันที แล้วปรับลดเงินงบประมาณของกระทรวงที่ได้รับเงินงบประมาณจำนวนมหาศาล เพื่อนำไปใช้เยียวยาช่วยเหลือประชาชน และเพื่อใช้สำหรับการจัดซื้อเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์สำหรับการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19
ขอยกตัวอย่างชัดๆ จาก กรณ์ จาติกวณิช พรรคกล้าที่เสนอให้ตัดลดงบประมาณกระทรวงละ 10 เปอร์เซ็นต์ แล้วโอนเงินก้อนนี้ไปไว้ที่งบฉุกเฉินเพื่อต่อสู้กับวิกฤติไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะมีวงเงิน 330,000 ล้านบาท และเสนอให้รัฐบาลนำเงินจากงบดูงาน งบสัมมนา งบสันทนาการ และงบอื่นๆ ที่ใช้ไม่ทันภายในปีงบประมาณนี้ และงบกลาโหมที่ไม่ใช่งบเร่งด่วน โดยรัฐบาลต้องนำเข้าพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรีโดยด่วนแล้วออกพระราชกำหนดโอนงบประมาณในทันที เรื่องน่าพิจารณาเช่นนี้ มีคำถามว่ารัฐบาลจะนำไปใคร่ครวญหรือไม่ หรือว่ารัฐบาลมีทางออกที่ดีกว่านี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี