วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568
การโอนงบประมาณรายจ่ายมาใช้ในการป้องกันรักษา “โควิด-19”ตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๓๕ ห้ามโอนงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณหนึ่ง จะโอนหรือนำไปใช้สำหรับหน่วยรับงบประมาณอื่นมิได้ เว้นแต่จะมีพระราชบัญญัติให้โอนหรือนำไปใช้ได้ และมีข้อยกเว้นอีกหลายกรณีที่ไม่ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ
ขออย่าอ้างว่า ได้เคยตราพระราชบัญญัติให้โอนงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการต่างๆ ไปเพิ่มงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินมาแล้วหลายฉบับ เช่นในพ.ศ.2560 และ 2561 เพราะแต่ละฉบับนั้นๆ ล้วนผิดกฎหมายวิธีการงบประมาณทั้งสิ้นที่โอนไปเพิ่มงบกลาง จึงไม่อาจนำมาใช้เป็นบรรทัดฐานได้
แต่ที่สำคัญจะโอนจากหน่วยรับงบประมาณหรือของส่วนราชการใดไปเพิ่มงบกลางเช่นรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินจำเป็นไม่ได้ เพราะงบประมาณรายจ่ายงบกลางไม่ใช่เป็นงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ ตามกฎหมายวิธีการงบประมาณมาตรา ๑๕ ได้กำหนดให้แยกออกมาต่างหากเพื่อจัดสรรให้แก่หน่วยรับงบประมาณตามความจำเป็น
งบกลางโอนได้เฉพาะระหว่างรายการในงบกลางเท่านั้น โดยอำนาจผู้อำนวยการสำนักงบประมาณโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี เช่นโอนมาเพิ่มรายการเงินสำรองจ่ายและในกรณีที่รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินมีไม่เพียงพอก็นำเงินทุนสำรองจ่าย ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท (ห้าหมื่นล้านบาท)ตามมาตรา ๔๕ ของกฎหมายวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑มาใช้ได้ กรณีดังกล่าวนี้ เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องออกเป็นกฎหมายแต่อย่างใด
แต่ถ้าจะโอนงบประมาณ ระหว่างหน่วยรับงบประมาณจะต้องตราเป็นกฎหมายเท่านั้น ได้แก่ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดในกรณีพิเศษ ที่เกิดวิกฤติโรคโควิด-19 อยู่ในขณะนี้ เพราะการตราเป็นพระราชบัญญัติจะมีความล่าช้าไม่ทันการณ์ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอยู่ในขณะนี้
ขอยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่มีข้อเสนอจากหลายฝ่ายให้ตัดลดงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของกระทรวงกลาโหม ตั้งไว้เป็นจำนวน ๑๒๔,๔๐๐,๒๕๐,๐๐๐ บาทจำแนกได้ ดังนี้
กองทัพบก ๕๒,๑๐๓,๑๙๓,๗๐๐ บาท
กองทัพเรือ ๒๕,๐๖๕,๙๕๖,๒๐๐ บาท
กองทัพอากาศ ๒๙,๓๒๖,๔๖๖,๓๐๐ บาท
กองบัญชาการกองทัพไทย ๓๐,๗๘๑,๙๖๐,๘๐๐ บาท
โดยนำรายการที่ยังไม่มีความจำเป็นรีบด่วนในการจ่ายหรือก่อหนี้ผูกพัน เช่นการซื้อเรือดำน้ำ โดยโอนไปให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการป้องกันรักษาโรค “โควิด-19” ได้แก่กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานในกำกับ ที่ในปีงบประมาณ ๒๕๖๓ นี้ได้รับเพียง ๒๖,๗๓๐,๗๓๗,๕๐๐ บาท น้อยกว่าหลายเหล่าทัพในกระทรวงกลาโหมเพียงมากกว่ากองทัพเรือเล็กน้อย
ตามวินัยการคลังที่ได้เคยปฏิบัติมาจะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายตามมาตรา ๓๕ (๑) มาเพิ่มให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นๆ ที่มีหน้าที่ป้องกันรักษาโรคระบาด “โควิด-19” เช่นโรงพยาบาลและคณะแพทย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เพราะตามมาตรา ๓๕ (๑) กฎหมายใช้คำว่า “มีพระราชบัญญัติให้โอน....” แต่ในกรณีที่เกิดวิกฤติ “โควิด-19” ที่มีความจำเป็นรีบด่วนขณะนี้จะตราเป็นพระราชกำหนดโอนงบประมาณได้หรือไม่ ?
เพราะการตราเป็นพระราชกำหนดจะเป็นการหลีกเลี่ยงไม่อยู่ในข่ายบทบังคับตามรัฐธรรมนูญที่จะต้องใช้เช่นเดียวกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม คือต้องตราเป็นพระราชบัญญัติผ่านการพิจารณาวิเคราะห์ของคณะกรรมาธิการวิสามัญ มีหลักเกณฑ์การแปรญัตติที่กำหนดไว้กรณีใดทำได้และไม่ได้ และในกรณีที่มีการฝ่าฝืนจะมีความผิดตามมาตรา ๑๔๔ ของรัฐธรรมนูญ เช่นเพิกถอนสิทธิทางการเมือง ชดใช้เงินจำนวนที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ
แต่เมื่อตัวงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๓ ได้ตราเป็นพระราชบัญญัติแล้วและการใช้งบประมาณรายจ่ายมีลักษณะเป็นพลวัตรตามความจำเป็น จะเห็นได้ว่าการโอนงบประมาณอาจเกิดขึ้นได้อีกหลายกรณีโดยไม่ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ เช่นมีพระราชกฤษฎีการวมหรือโอนส่วนราชการเข้าด้วยกันตาม มาตรา ๓๕ (๒) การโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการตาม (๓) การโอนงบประมาณรายจ่ายบุคลากรตาม (๔) อาจทำได้
ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
นอกจากนี้ยังมีการโอนงบประมาณที่กำหนดไว้ในแผนงานหรือในรายการใดของหน่วยรับงบประมาณให้เป็นอำนาจของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณและคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๓๖ ของกฎหมายวิธีการงบประมาณ ทั้งๆ ที่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติงบประมาณที่โดยหลักการจะต้องผ่านการพิจารณาแก้ไขเพิ่มของสภานิติบัญญัติแต่มาตรานี้ก็ได้บัญญัติมาตั้งแต่ใช้กฎหมายวิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๐๒ อ้างความคล่องตัวและการเป็นพลวัตรของการบริหารงบประมาณที่มีความเป็นพิเศษให้โอนได้เพียงผู้อำนวยการสำนักงบประมาณอนุญาตให้โอน
พิจารณาโดยนัยนี้ผู้เขียนจึงเห็นว่า คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญตราพระราชกำหนดการโอนงบประมาณปี ๒๕๖๓ เพื่อนำมาใช้ในกรณีจำเป็นรีบด่วนที่เกิดจากโรคระบาด “โควิด-19” อาจทำได้ด้วยเหตุผลพิเศษ ดังกล่าว แต่ไม่อาจนำมาใช้กับการจัดทำพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมที่จะต้องทำเป็นพระราชบัญญัติเพราะรัฐธรรมนูญบังคับไว้
แต่ที่คณะรัฐมนตรีไม่รีบตราพระราชกำหนดโอนงบประมาณรายจ่ายคงไม่ใช่เหตุเพราะกลัวจะผิดรัฐธรรมนูญ
แต่ที่กลัวเพราะจะต้องไปกระทบงบประมาณรายจ่ายของกระทรวงกลาโหมในเรื่องจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร เช่นกรณีเรือดำน้ำมากกว่า ครับ
ศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต

รวบแล้ว กาน เวลไฟร์ มือยิงเก๋งบนทางทางพิเศษศรีรัช ย่านประชาชื่น
รมต.กัมพูชามั่นหน้าอีกหนึ่ง โพสต์เฟซเดือดๆ เขมรไม่มีทางพ่ายแพ้ ไทยไม่มีทางชนะ
ธรรมนัสของขึ้น! ฉะ อภิสิทธิ์ พูดหล่อ แต่มีผลงานอะไรบ้าง เหน็บบัญชีรายชื่อตัวเองสะอาดจัง
เปิดประวัติ กาน เวลไฟร์ วัยรุ่นพันล้าน เจ้าพ่อแวดวงรถมือสอง
ยูเอ็นออกโรงเตือน เมียนมาหยุดใช้ความรุนแรง บังคับขู่เข็นปชช.ไปเลือกตั้ง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี