มีคำถามว่า ทำไมค่าไฟฟ้าเดือนเมษายนจึงแพงมาก แพงกว่าเดือนมีนาคมตั้งเกือบหนึ่งเท่าตัว
คำตอบคือ ค่าไฟฟ้าแพงเพราะคุณใช้ไฟฟ้ามาก เมื่อใช้กระแสไฟมาก ก็ต้องจ่ายค่าไฟฟ้ามาก ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
หากคุณทุกคนเชื่อตามคำตอบข้างต้น ก็คงไม่มีใครบ่นเรื่องค่าไฟฟ้าแพงอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่คุณรู้ทั้งรู้ว่า คุณใช้กระแสไฟฟ้ามากขึ้น แต่คุณกลับตั้งคำถามว่าทำไมต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพง ก็ในเมื่อคุณใช้ไฟมาก แล้วคุณจะจ่ายค่าไฟฟ้าถูกได้อย่างไร
ในช่วงอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่อช่วยกันหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 คุณคงไม่ปฏิเสธใช่ไหมว่า เมื่ออยู่บ้านมากขึ้น คุณก็ใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เพราะไหนจะต้องเปิดเครื่องทำความเย็น (แอร์คอนดิชันเนอร์) เปิดพัดลม เปิดไฟฟ้า และเปิดตู้เย็นบ่อยขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้คุณต้องใช้กระแสไฟฟ้ามากขึ้น ขอย้ำเหมือนเช่นเดิมว่า เมื่อคุณใช้กระแสไฟฟ้ามากขึ้น คุณก็ต้องจ่ายค่าไฟฟ้ามากขึ้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณทุกคนสามารถเข้าใจได้ แต่ทว่ามันมีมูลเหตุที่หลายคนบ่นตรงกันว่า ค่าไฟฟ้าแพงมาก ก็เพราะว่าเมื่อคุณได้รับทราบข่าวรัฐบาลประกาศจะช่วยลดค่าไฟฟ้าให้กับคุณ เพราะรัฐบาลขอร้องให้คุณอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ คุณก็จึงตั้งความหวังว่า คุณะคงไม่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้ามากๆ แต่คุณอาจจะจงใจลืมไปว่า เนื่องจากคุณใช้ไฟฟ้ามาก แล้วเมื่อคุณใช้ไฟฟ้ามากจริงๆ คุณจะปฏิเสธการจ่ายค่าไฟฟ้าได้อย่างไร
แต่ถ้าหากคุณยืนยันว่า แม้คุณต้องอยู่บ้านมากกว่าช่วงก่อนที่เมืองไทยจะมีปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่คุณยังคงใช้ไฟฟ้าเท่ากับช่วงที่คุณไม่ต้องอยู่บ้าน ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว คุณถูกเรียกเก็บค่าไฟฟ้าแพงมากขึ้น ผมก็ยินดีจะช่วยคุณตะโกนร้องเรียนว่า คุณจ่ายค่าไฟฟ้าที่แพงมากขึ้นโดยไม่เป็นธรรม
ลองถามตัวเองอีกสักครั้งนะครับว่า ทุกวันนี้คุณเปิดแอร์คอนดิชันเนอร์ในบ้านคุณวันหนึ่งกี่ตัว แล้วเปิดแอร์ แต่ละตัวนานกี่ชั่วโมง หากคุณเปิดแอร์ ทั้งวันทั้งคืน คุณก็ต้องยอมรับว่าค่าไฟฟ้าต้องแพงมากกว่าช่วยที่คุณเปิดแอร์น้อย แต่ถ้าหากคุณเปิดแอร์ทั้งบ้าน เปิดตลอด 24 ชั่วโมง แล้วคุณจะจ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดิมเหมือนวันที่คุณใช้กระแสไฟฟ้าน้อย คุณยังคิดอีกหรือว่าคุณนั้นเป็นคนที่มีความยุติธรรมอยู่ในใจ
ผมขอย้ำยืนยันประเด็นการใช้กระแสไฟฟ้ามาก ก็ต้องจ่ายค่าไฟฟ้ามาก เพราะนี้คือหลักการที่ถูกต้องที่สุด
แต่ประเด็นต่อมาที่ผมจะชวนคุณคุยคือ เมื่อรัฐบาลประกาศว่าจะลดค่าไฟฟ้าให้กับคุณ เพื่อตอบแทนการที่คุณๆ ยอมอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ก็ต้องมาพิจารณากันอีกว่า รัฐบาลประกาศชัดเจนหรือไม่ว่าจะลดค่าใช้ไฟฟ้าให้คุณอย่างไร ลดเท่าไร ลดกี่เปอร์เซ็นต์ ลดเป็นเวลานานกี่เดือน แล้วลดในเงื่อนไขใดบ้าง
ผมรู้สึกประหลาดใจมากกับการที่คนไทยจำนวนมากบอกว่าเมื่อรัฐบาลประกาศจะลดค่าใช้ไฟฟ้าให้ แต่ทุกคนก็กลับพร้อมใจร่วมกันใช้กระแสไฟฟ้ามากขึ้น โดยอ้างว่าเพราะคุณต้องอยู่บ้าน เมื่ออยู่บ้านก็ต้องเปิดแอร์ หากไม่เปิดแอร์ ก็ไม่สามารถจะอยู่ในบ้านได้ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยใคอนโดมิเนียม แฟลต และอพาร์ทเมนท์ เพราะการอาศัยอยู่ในสถานที่ดังกล่าวนั้น ผู้อาศัยมักจะต้องปิดประตูห้องของตนตลอดเวลา เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัว เมื่อปิดประตูก็ต้องเปิดแอร์ เพราะมิฉะนั้นก็จะไม่สามารถทนอยู่กับห้องที่ร้อนจนอาจจะทำให้ผู้อาศัยเกิดอาการตับแตกขึ้นมาได้
แต่ผมสังเกตเห็นคนจำนวนหนึ่งเขาพยายามจะใช้ไฟฟ้าแบบประหยัด ใช้เท่าที่จำเป็น แม้เขาจะอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมก็ตาม คนกลุ่มที่ผมกล่าวถึงนี้ เขาเปิดประตูด้านหน้าของห้อง แล้วก็เปิดประตูด้านหลังห้องพร้อมๆ กัน เพราะเมื่อเปิดประตูทั้งสองด้านพร้อมกัน ก็จะมีลมพัดผ่านได้ตลอด ยิ่งอยู่ในห้องที่อยู่บนชั้นสูงๆ มากๆ ขึ้นไป ก็จะยิ่งมีลมพัดผ่านมากขึ้น แต่เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้พักอาศัย โดยคนที่ผมพูดถึงนั้นก็ปิดแค่ประตูเหล็กดัด แล้วติดม่านไว้ที่ประตูบานนั้น เพื่อบังสายตาของคนภายนอกที่เดินผ่านหน้าห้อง เพียงแค่นี้เขาก็ไม่ต้องเปิดแอร์ทั้งวัน แต่อาจจะยังต้องเปิดพัดลมบ้าง ในยามที่ลมอาจจะนิ่งในบางขณะ แค่เพียงเท่านี้เจ้าของห้องที่ผมกล่าวถึงในที่นี้ก็ไม่ต้องเปิดแอร์ ซึ่งก็ช่วยประหยัดค่ากระแสไฟฟ้าไปได้มากพอประมาณ แถมบางคนที่ผมรู้จักนั้นยังประหยัดมาก เพราะเขาไม่เปิดแอร์ฯไม่ว่าจะช่วงค่ำหรือช่วงกลางวัน เพราะเขาอาศัยลมธรรมชาติให้ช่วยระบายความร้อนจากห้อง แต่ก็อาจจะมีปัญหาเรื่องฝุ่นละอองปลิวมากับลมแล้วเข้าไปในห้องมากขึ้น ซึ่งก็ทำให้ต้องทำความสะอาดห้องบ่อยกว่าช่วงที่ปิดห้องแล้วเปิดแอร์ แต่วิธีนี้ก็ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากพอสมควร
ต้องขอย้ำ ณ ตรงนี้ว่า บทความนี้ไม่ได้ออกมาเพื่อเป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาล แต่ออกมาเพื่อชวนคุณให้คิดไปพร้อมๆ กันว่า โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เมื่อคุณใช้มาก คุณก็ต้องจ่ายมาก ตามหลักของผู้ใช้มาก ก็ต้องจ่ายมาก ส่วนเรื่องที่รัฐบาลประกาศลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนนั้น ก็ต้องว่ากันไปตามเกณฑ์ว่าจะลดให้เท่าไร แต่ถึงแม้รัฐบาลจะทำเป็นใจดีประกาศลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชน ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะยอมควักกระเป๋าของตัวเองเพื่อออกค่าไฟฟ้าให้ประชาชน เพราะเงินที่รัฐบาลนำไปเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก็มาจากภาษีอากรของประชาชน หวังว่าคุณคงไม่ลืมความจริงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่คัดค้านหากรัฐบาลจะช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ยากจนจริงๆ ที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วน เพื่อให้คนยากคนจนได้มีโอกาสดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ที่สำคัญคือขอให้ช่วยคนยากจนจริงๆ เท่านั้น เพราะที่ผ่านๆ มานั้น สาธารณชนจับได้เสมอๆ ว่าเงินที่รัฐบาลหว่านไปนั้นไม่ค่อยจะตกถึงมือของประชาชนที่ยากจนแท้จริง แต่กลับไปตกอยู่กับคนที่อยากจนมากกว่าคนยากจน ซึ่งเห็นได้จากกรณีแค่เศษเงินหลังตู้เย็น หรือจากข่าวอื่นๆ ที่ปรากฏว่าคนได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลับเป็นคนที่มีฐานะ แต่คนที่ยากจนจริงๆ ที่อยู่ตามแหล่งเสื่อมโทรม หรือคนเฒ่าคนแก่ที่ตกสำรวจกลับไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือใดๆ จากรัฐบาล
ขอย้ำอีกครั้งว่า ของฟรีไม่มีบนโลกใบนี้ เพราะทุกอย่างมีต้นทุนทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าต้นทุนนั้นมาจากใครเท่านั้น และต้องย้ำแล้วย้ำอีกว่าเงินที่รัฐบาลนำไปแจกให้ประชาชนนั้นไม่ใช่เงินที่ลอยมาจากอากาศ แต่มันคือเงินจากภาษีอากรที่รัฐบาลเก็บมาจากประชาชน
ส่วนที่มีผู้พยายามจะเปิดโปงว่ามูลเหตุที่ค่าไฟฟ้าแพง เกิดมาจากการฉ้อฉลทุจริตภายในการไฟฟ้าต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันค้นหาความจริงต่อไป แล้วต้องนำความจริงออกมาตีแผ่ แล้วต้องนำผู้ทุจริตไปลงโทษให้ได้
กรณีที่ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ระบุว่าต้นเหตุของปัญหาค่าไฟฟ้าแพงเกิดมาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ต่างๆ โดยไม่โปร่งใส โดยยกตัวอย่างการจัดซื้อรถเข็นของการไฟฟ้าฯที่คันหนึ่งมีราคาสูงถึง 153,000 บาท ทั้งๆ ที่รถเข็นดังกล่าวมีคุณสมบัติไม่ต่างไปจากรถเข็นผักในตลาดสด โดยหากซื้อรถเข็นดัวกล่าวจากตลาดทั่วไป เช่น ตลาดวรจักร หรือตลาดรังสิตรถเข็นที่ว่านั้นจะมีราคาเพียงคันละ 2 พันบาทเท่านั้น
ประเด็นที่ศรีสุวรรณพูดถึงเหตุที่ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นเรื่องทุจริตในการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ คือเป็นสิ่งที่สังคมกำลังรอการพิสูจน์ แล้วก็หวังว่าการไฟฟ้าฯ จะแถลงเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าเรื่องการใช้สิ่งใดๆ มากๆ แล้วต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก เป็นคนละประเด็นกับการทุจริตภายในองค์กรเพราะต่อให้ไม่มีการทุจริตภายในองค์กรเลยก็ตาม ผู้ที่ใช้จ่ายในสิ่งใดมากๆ ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องนั้นๆ ต่อไปโดยไม่มีข้อยกเว้น แต่พอจะรับฟังได้ว่า หากไม่มีการทุจริตในองค์กร ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายที่องค์กรเรียกเก็บจากประชาชนต้องมีราคาถูกลงตามไปด้วย ซึ่งเป็นการสะท้อนค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้น
ที่นี้ขอกลับมาพูดเรื่องค่าใช้ไฟฟ้าที่หลายคนบ่นว่าแพงมากนั้น ก่อนอื่นขอให้คุณถามตัวเองอีกครั้งว่า แล้วคุณใช้กระแสไฟฟ้ามากขึ้นกว่าเดิมจริงหรือไม่ หากใช้จริง ก็ย่อมต้องจ่ายแพง แต่หากใช้น้อยกว่าเดิม แต่กลับจ่ายแพงกว่าเดิม ก็ต้องร้องเรียนเพื่อเอาผิดกับผู้ที่เอาเปรียบประชาชน
ตามหลักเกณฑ์การคิดค่าไฟจะเป็นตามนี้ บ้านที่ใช้ไฟฟ้า 0-150 หน่วย จ่ายค่าไฟหน่วยละ 3.2484 บาท หากใช้ไฟฟ้า 151-400 หน่วย จ่ายค่าไฟหน่วยละ 4.2218 บาท ถ้าใช้ไฟฟ้า 400 หน่วยขึ้นไป จ่ายค่าไฟหน่วยละ 4.4217 บาท
หากคุณใช้ไฟฟ้า 1 พันหน่วย จะถูกคิดค่าใช้ไฟดังนี้ 150 หน่วยแรก X 3.2484 = 487.26 บาท 250 หน่วยถัดไปX 4.2218 = 1,055.45 บาท 600 หน่วยที่เหลือ X 4.4217 = 2,653.02 บาท รวมเป็นเงิน = 4,195.73 บาท แล้วคุณจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7 เปอร์เซ็นต์ ค่าบริการ และค่า FT อีกด้วย
สรุปสั้นๆ ตรงประเด็นคือ โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เมื่อคุณใช้มาก คุณก็ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายมากตามไปด้วย เพราะฉะนั้น จงอย่าเชื่อว่าโลกนี้มีของฟรี ส่วนเรื่องทุจริตในองค์กรอันเป็นต้นเหตุให้ประชาชนต้องรับภาระหนักกว่าความเป็นจริง ก็ต้องช่วยกันกำจัดคนทุจริตให้หมดไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี