เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 21/2563 ลงนามโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เรื่อง แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)
โดยระบุว่า เพื่อให้การปฏิบัติงานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา มีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม จึงให้แต่งตั้ง คณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมีหน้าที่เสนอความเห็นทางวิชาการ แนวทางป้องกันปัญหา แก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจสังคม จากการระบาดของไวรัส
สำหรับรายชื่อคณะที่ปรึกษาดังกล่าวประกอบด้วย1.ศาสตราจารย์กิตติคุณนายแพทย์จรัส สุวรรณเวลาประธาน 2.ศาสตราจารย์กิตติคุณเทียนฉาย กีระนันทน์รองประธาน 3.ศาสตราจารย์นายแพทย์นิธิ มหานนท์กรรมการ 4.ศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย กรรมการ 5.รองศาสตราจารย์สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ กรรมการ6.รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ กรรมการ 7.พลตรี นายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา กรรมการ8.นายบัณฑิต นิจถาวร กรรมการ 9.นายประสารไตรรัตน์วรกุล กรรมการ 10.นายวีระ ธีระภัทรานนท์ กรรมการ 11.นายสมชัย จิตสุชน กรรมการ 12.เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ 13.รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมอบหมาย ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปสั่ง ณ วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563
นี่คือสิ่งที่ผมเรียกร้องมาตลอดว่า นายกฯต้องใส่ใจ “ขาอีกข้าง” ที่ยังเป๋อยู่ นั่นคือ “ขาด้านเศรษฐกิจ”
ใช่ครับ ที่ผ่านมา ขาด้าน “สาธารณสุข” นั้นแข็งแรงมาก ก็ด้วยประสบการณ์การทำงานของบุคลากรเอง ที่ผ่านประสบการณ์รับมือกับโรคระบาดมามาก การสนับสนุนอำนาจตัดสินใจ การให้เครื่องมือในการทำงานที่ครบถ้วน จนนำมาสู่ความมี “เอกภาพ” ลดความสับสน ลดการสื่อสารที่ “มั่ว” และ “มาก” จนเหลือ “จุดเดียว” และใช้สื่อของรัฐเข้าสนับสนุน ประสิทธิภาพมันก็เกิด จนขาข้างนี้แข็งแรงมาก
แต่มันก็มีผลกระทบกับ “ขาอีกข้าง” เพราะมาตรการด้านสาธารณสุขนั้น มันไปจำกัด “วิถีชีวิต” และ “การทำมาหากิน” ของราษฎร ซึ่งแน่นอน ทุกคนมีหน้าที่ต้องให้ความร่วมมือ และยังถูกกำหนดด้วย “กฎหมาย” ให้ต้องหยุดทำงาน ให้ต้องพักการประกอบการ ฯลฯ นำมาซึ่งภาวะร่วมกัน “กลั้นใจ” อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
แต่ความสามารถในการ “กลั้นใจ” ของประชาชนแต่ละหมู่แต่ละเหล่านั้นไม่เท่ากัน ขณะเดินหน้ามาตรการทางสาธารณสุข การประเมินผลกระทบด้าน “เศรษฐกิจ” บกพร่องอย่างชัดเจนมาก เหมือนไม่มีการประเมินและคิดมาตรการรองรับไว้เลยด้วยซ้ำ จึงอยู่ในสภาพแก้ปัญหาแบบ “วันต่อวัน” ไปเรื่อยๆ ทีละเรื่องๆ และบกพร่องด้าน “การสื่อสาร” อีกต่างหาก
ในสภาพการณ์แบบที่ว่านั้น ผมจึงเสนอความเห็นผ่านบทความ ผ่านรายการวิทยุ ผ่านรายการโทรทัศน์ และผ่านเฟซบุ๊คเพจ “ปู จิตกร บุษบา” มาอย่างต่อเนื่องว่า
นายกรัฐมนตรีควรตั้ง “ทีมเศรษฐกิจเฉพาะกิจ” ขึ้นมาทำงานให้เข้มแข็ง คู่ขนานไปกับทีมสาธารณสุข ถอดแบบถอดบทเรียนความสำเร็จของทีมสาธารณสุขออกมาแล้วมาใช้กับทีมเศรษฐกิจเฉพาะกิจนี้ให้เร็วที่สุด
แล้วก็เหมือนจะได้มา นายกฯละเอียดถึงขั้นว่า มีทั้งแพทย์เพื่อสังคม นักรัฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงินการธนาคาร และนักวิชาการที่เข้าใจ “สังคม” อยู่ในทีมนี้แล้ว ปัญหาที่ตามมาคือ ตั้งไว้ลอยๆ ตั้งไว้ให้คำปรึกษา หรือว่า “ปฏิบัติ” อะไรได้ด้วย เหมือนกับทีมศบค. ก่อนหน้านี้ ที่เป็นทีมด้านสาธารณสุขกับความมั่นคง
เข้าใจนะครับ ว่า คณะนี้คือคณะที่อยู่ในชุด ศบค. นั่นแหละ แต่จะไปเติมเต็มด้านเศรษฐกิจและสังคม แต่ก็ต้องขำย้ำคำถามว่า เอามา “ทำงาน” หรือเอามา
“ให้คำปรึกษา” เพราะทราบมาว่า นายกฯ ตั้งทีมที่ปรึกษาไว้เยอะมากแล้ว เรา-ชาวบ้านในประเทศนี้ ต้องการ“คณะปฏิบัติการด้านเศรษฐกิจ” ในสภาวะวิกฤติโรคระบาดครับ!!
พูดกันตรงๆ ตอนนี้ เชื้อโควิด-19 ถูกจำกัดวงการระบาดได้ดีระดับหนึ่ง ดีกว่าอีกหลายๆ ประเทศในโลก ดีเป็นระดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ แต่เชื้อ“อด-หดหู่-สิ้นหวัง” กำลัง “ทำลายชีวิต” คนกลุ่มหนึ่ง ที่ระบบฐานข้อมูลของรัฐ “ส่องไปไม่ถึง” อย่างแท้จริงและไม่เห็น “ความพยายามอย่างยิ่งยวด” ที่จะส่องลงไปให้“เห็น” เพื่อช่วยคนที่ “กลั้นใจไม่ไหวแล้ว” ให้มีลมหายใจต่อไปได้
คนมีเงินเก็บ คนที่ยังมีงาน คนที่มีสวัสดิการรองรับพรั่งพร้อม เขาร่วมมือกับรัฐได้เต็มที่ ในการทำงานอยู่กับบ้าน ในการออกจากบ้านให้น้อยที่สุด ในการมีวินัยเพื่อให้ประเทศไทยไม่เกิดการระบาดแบบควบคุมไม่ได้ คนกลุ่มนั้นจึงไม่ใช่ “ปัญหา”
แต่กลุ่มคนที่เป็นปัญหา รัฐได้ใช้มาตรการเชิงรุกใดๆ จู่โจมลงไปเสาะหา เพื่อเยียวยา ประคับประคองบ้างครับ
รัฐมีกลไกอย่าง “มหาดไทย” ที่สายบังคับบัญชาแทรกซึมอยู่ทั่วทุกหัวระแหง เริ่มจากผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะ อบจ.กับอบต. นายอำเภอ ปลัด กำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งหากอาศัยเครือข่ายพวกนี้ “สแกนพื้นที่อย่างจริงๆ จังๆ”จะมีกี่ครอบครัว กี่ชีวิต ที่ “หลุดรอด”การมองเห็นของรัฐไปได้ หากไปรวมกับอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม. อีก หรือสำนักนายกฯ จะอาศัยเครือข่ายของ “พระ” ทั่วประเทศ ผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่อยู่ในบังคับของสำนักนายกฯ ช่วยกันสแกนอีก ผมถามอีกครั้งดังๆ ว่าจะมีกี่ครอบครัว กี่ชีวิต ที่ “หลุดรอด” การมองเห็นของรัฐไปได้
บ้านไหนจน บ้านไหนตกงาน บ้านไหนไม่มีจะกิน รู้กันหมดละครับ ส่วนกทม. ก็ยกเลิกความคิดในการยกเลิก สข. ทิ้งไปได้แล้ว เพราะ สข. กับ สก. นั้น คือ
“คนที่อยู่กับชาวบ้านจริงๆ” ไปยกเลิก สข. ทำบ้าอะไรก็ไม่ทราบ!!
นายกฯ ครับ ลอง “บัญชาการสถานการณ์” ด้วยการส่งเครือข่ายที่ผมกล่าวแล้วไปสแกนให้สำเร็จภายใน 1 สัปดาห์ ดูนะครับ แล้วทีนี้ท่านจะรู้เลยว่า ศบค. สามารถ “ชี้เป้า” ให้ภาคเอกชน มูลนิธิ คนใจบุญมหาเศรษฐีทั้งหลาย ที่อยากจะ “ช่วยคน” ช่วยได้ทันตาเห็นเลยครับ ไม่ว่าจะช่วยเรื่องอาหารการกินเงินทอง อาชีพ ที่อยู่อาศัย เครื่องมือทำกิน ฯลฯโดยไม่ให้คนเหล่านั้น “ดิ้นรนกันเอาเอง” โดยไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง ตายด้วยโควิด-19 หรืออดตาย หรือต้อง “ฆ่าตัวตาย”
เมื่อให้องคาพยพเหล่านี้ “สแกน” ดาต้าเบส หรือฐานข้อมูลที่ “โคตรปัจจุบัน” ก็เกิด แล้วนำมาบริหารจัดการในแต่ละพื้นที่เลยครับ ว่าถุงยังชีพต้องส่งให้แต่ละจังหวัดจัดหาเท่าไหร่ มอบให้ใคร มอบอย่างไร จะปล่อยให้คนอดจริงบ้าง คนเห็นแก่ได้บ้าง มาต่อแถวอัดแน่นเป็นปลากระป๋องให้ผู้คนร่วมชาติก่นด่าและกังวลว่า การระบาดของโควิด-19 มันจะระเบิดระเบ้อขึ้นมาอีกหรือไม่ทำไมกันครับ
ผู้ว่าฯ ลำปาง ถึงกับประสานกับฟู้ดแพนด้า ให้เอาข้าวเอาของไปส่งถึงบ้าน เพื่อลดการออกจากบ้านมารับของได้ ทำไมระดับนายกรัฐมนตรีของประเทศจะทำไม่ได้?
เรื่องทั้งหมดมันจึงขึ้นอยู่กับ
1.สติปัญญาที่จะมองเห็นปัญหาได้ครอบคลุมทุกมิติซึ่งเราเรียกกันสั้นๆ ว่า “วิสัยทัศน์”
2.พอมีวิสัยทัศน์ ก็มาถึงความสามารถในการบริหารจัดการ
3.พอสามารถบริหารจัดการ แบ่งงาน แบ่งหน้าที่ กำหนดเวลาปฏิบัติ สรุปผล ถอดบทเรียน ได้อย่างกระชับฉับไวแล้ว อุปสรรค ความโกลาหล ความฉิบหาย ความกินแหนงแคลงใจทั้งหลายก็ทุเลาเบาบาง ประชาชนอยู่ได้ ไม่ตาย พร้อมให้ความร่วมมือ การบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤติมันก็ลดความวิกฤติลง
4.ที่สำคัญอีกประการก็คือ การสื่อสาร หยุดสื่อสารแบบพูดวันนี้ พรุ่งนี้แก้ไขใหม่ จนประชาชนบ่นกันทั่วว่า “มึงจะให้กูทำยังไง มึงไปตกลงกันมาให้เสร็จ แล้วบอกกูทีเดียวครั้งเดียวได้ไหมวะ”
นี่อะไรกัน...
• เริ่มต้นที่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ศบค. + สมช. ประชุมกัน มีข้อสรุปจากที่ประชุม ว่าจะผ่อนปรนอะไรบ้างสื่อนำเสนอออกมา ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเตรียมการ
• ตกค่ำ มีข้อมูลว่า เฮ้ยๆๆๆ ที่สื่อเอาไปเสนอเนี่ย ยังไม่จริงนะ ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ให้ที่ประชุม ครม. เคาะก่อน
• วันต่อมา ที่ประชุม ครม. เคาะตาม ศบค. สมช. ยกเว้นการเลื่อนวันหยุดนักขัตฤกษ์เดือนพฤษภาคมทั้งหมด ให้หยุดตามเดิม
• พอมีข่าวว่า ครม. เห็นชอบแล้ว แต่ละจังหวัด โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ก็มาประชุมกัน กำหนดมาตรการว่าจะให้อะไรเปิดได้บ้าง เปิดอย่างไร โฆษกฯ ซึ่งเป็นลูกชายผู้ว่าฯ ออกมาแถลงเบื้องต้น พร้อมกับย้ำว่า พรุ่งนี้จะแถลงพร้อม ศบค. อย่างเป็นทางการอีกที
• ทันใดนั้นก็ต้องเก็บเข้าลิ้นชักก่อน เพราะวันรุ่งขึ้น ศบค. บอกให้รอรายละเอียดจากส่วนกลางก่อน แถมมีหนังสือจากกระทรวงมหาดไทยสั่งให้แต่ละจังหวัดว่า อย่าเพิ่งเริ่มมาตรการผ่อนปรน อย่าเพิ่งอนุญาตให้เปิดนั่นเปิดนี่ (บางจังหวัดประกาศไปแล้ว ม้วนเสื่อกันแทบไม่ทัน)
• พอถึงวันที่ 1 พ.ค. ซึ่งเป็นการเริ่ม พ.ร.ก.ระยะต่อขยาย (ฮา...) ศบค. บอกว่า รอฟังวันที่ 2 ละกัน
• วันที่ 2 พ.ค. แถลงยาวยืด ละเอียดดี แต่มีกี่คนที่นั่งฟัง ดังนั้น ทางที่ดี ทำเป็นเอกสาร ให้คนเอาไปนั่งอ่านให้หายมึนได้ด้วยก็จะดี นี่แต่ละพื้นที่ก็ต้องรอฟังอีกนะว่าจังหวัดของตัวเองจะผ่อนปรนให้เปิดอะไร ไม่เปิดอะไรเพราะแต่ละจังหวัด ใช้ดุลพินิจได้ ไม่ต้องเหมือนกัน หย่อนยานกว่าประกาศใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินของส่วนกลางไม่ได้ แต่เข้มกว่าได้
อยู่ในยุคการสื่อสารวิบัติ สื่อสารเหมือนคนท้องผูกนั่งขี้ มาทีละต่อน มาทีละท่อน มาทีละก้อน ก็ต้องเป็นงานของคนไทยละนะ หัด “ตีความ” กันให้แม่นๆ นะ เหมือนขูดเลขหวยน่ะ ไม่งั้นผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินจ้ะ 5555 กรุณาให้เบอร์โทรด้วยนะ ว่าถ้ายังงงอยู่ ต้องสอบถามที่ไหน สงสารคนที่ต้องปฏิบัติอย่างงุนงงสับสนบ้าง เรื่องเดียวใช้เวลาสื่อสารกันอยู่ 1 สัปดาห์เต็มๆ แต่ช่วยให้คน “กระจ่างแจ้ง” เลยมั้ย ไม่จ้า!!! #เอามือประสานไว้ข้างหน้าก้มหน้าสงบนิ่งให้แก่การสื่อสารหนึ่งนาที
สรุป ::
1.ดีใจที่เห็นการ “แต่งทัพ” รับมือด้านเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น แต่หวั่นใจว่าจะเป็นแค่ที่ปรึกษาหาคนปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ ล่าช้าแบบรัฐราชการไปเรื่อยๆ จนสังคมวิกฤติ
2.อยากให้นายกฯ แก้ไขปัญหาเรื่องการสื่อสารของทุกชุดทำงานให้ชัดเจน เข้าใจง่าย ทั่วถึง และทันการณ์3.อยากให้ประชาชนที่กำลังจะอดตาย มีคนเห็น มีคนช่วย อย่างเป็นระบบและฉับไว ซึ่งรัฐทำได้ และต้องทำ
ในสถานการณ์นี้ เป็นโอกาสอันดีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้แสดงภาวะผู้นำ ที่ไม่ใช่ “ผนงรจตกม”เป็นโอกาสที่ขอความร่วมมือจากใครก็ได้หมด ทั้งเศรษฐี เอกชน ประชาชน ก็เหลือแค่ “ข้าราชการ” และ “ตัวท่านเอง” นี่แหละ ที่ช้ามากๆ
หาก พล.อ.ประยุทธ์ พิสูจน์ฝีมือได้เป็นที่ประจักษ์ ว่าฉันไม่ใช่ “ผู้นำโง่” ที่พวกเธอพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของฉัน และ-ว่าฉันไม่ใช่ “มาเป็นนายกฯได้ เพราะเขียนกฎหมายเอื้อให้ตัวเองได้เป็น”
สี 2 สี ที่ถูกป้ายไว้นี้ก็จะจางลง จนกระทั่งหมดไปเพราะท่านได้แสดงความสามารถจนเป็นที่ประจักษ์ว่าท่านเป็นผู้นำที่ “สุดยอด” จริงๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี