สัปดาห์ก่อนเล่าถึงเรื่องมาตรการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมและขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาบางมาตรการที่ออกมาอย่างรวดเร็วในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา มาตรการต่างๆ เหล่านี้ถูกรวมอยู่ในกฎหมายฉบับที่เรียกกันสั้นๆ ว่า CARES หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Coronavirus Aid, Relief and Economics Security Act”
วัตถุประสงค์หลักของ CARES นั้น ก็ไม่ต่างจากพระราชกำหนด 3 ฉบับ ของรัฐบาลประยุทธ์ที่ให้อำนาจทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยกู้เงินรวม 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาและเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ส่วน CARES นั้น มีวงเงินอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นวงเงินมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ของสหรัฐ มากกว่าตอนที่รัฐบาลบุช จูเนียร์และโอบามาออกกฎหมายเพื่อมาเยียวยาเศรษฐกิจสหรัฐ ในตอนที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (The Great Recession) อันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ซับไพร์มในช่วงปี 2008-2009 คือ The Emergency Economic Stabilization Act of 2008 (ประมาณ 700,000 ล้านดอลลาร์ ต่อมาถูกปรับลดด้วยกฎหมายอีกฉบับจนเหลือประมาณ 475,000 ล้านดอลลาร์) และ The AmericanRecovery and Reinvestment Act of 2009(ประมาณ 787,000 ล้านดอลลาร์)
ด้วยวงเงินที่มากขนาดนี้ทำให้อย่างไรเสีย....CARESก็ต้องถูกทำเป็นพระราชบัญญัติโดยผ่านกระบวนการทางนิติบัญญัติจากรัฐสภา สหรัฐซึ่งต่างจากพระราชกำหนดกู้เงิน3 ฉบับ จำนวน 1.9 ล้านล้านบาท ของรัฐบาลประยุทธ์
โดยก่อนที่นักการเมืองของรีพับลิกันและเดโมแครตจะมานั่งยกมือผ่านพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงแบบท่วมท้นจากทั้งสองฝ่าย นักการเมืองจากทั้งสองค่ายรวมทั้งทีมที่ปรึกษาของทรัมป์ต้องมานั่งเจรจากันแบบเอาเป็นเอาตายว่า....Who get What,When, Howand How much...? หลังจากการเจรจา ล็อบบี้กันไปมาอยู่ห้าวันห้าคืน ฝ่ายเดโมแครตก็บรรลุข้อตกลงในประเด็น เช่น
■ เน้นการช่วยเหลือเป็นรายบุคคล รวมถึงธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมและขนาดเล็ก (โดยทั่วไป นิยามของธุรกิจขนาดเล็กคือมีการจ้างงานไม่เกิน 5 คน, ขนาดย่อมไม่เกิน 50 คน, ขนาดกลางระหว่าง 50 ถึง 200 คน)
■ ให้งบช่วยเหลือไปที่โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศเป็นจำนวน 1 แสนล้านดอลลาร์โดย 1 พันล้านดอลลาร์ เป็นงบวิจัยเกี่ยวกับเรื่องไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ (ตอนที่ทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีใหม่ๆ เขาสั่งตัดงบค่าใช้จ่าย 80% ที่เกี่ยวกับการป้องกันระวังดูแลโรคระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลกของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคระบาด หรือ CDC ของสหรัฐ นอกจากนี้ทรัมป์ยังปิดหน่วยงานที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางด้านสุขภาพและอนามัยที่สังกัดอยู่ในสภาความมั่นคงแห่งชาติ อีกด้วย)
■ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ เป็นเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางที่ให้ไปยังรัฐบาลระดับมลรัฐและท้องถิ่นที่จะต้องขาดรายได้จากการเก็บภาษีและหมดไปกับค่าใช้จ่ายในการต่อสู้กับโควิด-19
■ มีหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดในการให้เงินช่วยเหลือบริษัทขนาดใหญ่รวมทั้งสามารถกันไม่ให้ธุรกิจในเครือของทรัมป์และรัฐมนตรีคนอื่นๆ ได้รับอานิสงส์ผลประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ได้บ้างในบางเรื่อง
ส่วน รีพับลิกันซึ่งโดยแนวทางของพรรคแล้วจะไม่สนับสนุนมาตรการแบบ Social Safety Net หรือ การให้ความช่วยเหลือทางด้านสังคมแก่ประชาชนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในรูปแบบของการแจกเงินแบบให้เปล่า เพราะเกรงว่าจะทำให้คนเหล่านี้จะยิ่งขี้เกียจทำงาน (ซึ่งก็จะทำให้รัฐไม่ได้เงินภาษีจากคนกลุ่มนี้) อยู่ไปแบบวันๆ แบมือขอความช่วยเหลือจากรัฐไปตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรลุเป้าหมายในการตราพระราชบัญญัติ CARES ออกมาใช้โดยเร็วที่สุด ทั้งสองพรรคต่างก็ต้องถอยออกมาจากอุดมการณ์หลักของพรรคคนละก้าว-สองก้าว ทางเดโมแครตก็ต้องยอมหลับตาข้างหนึ่งที่เงินบางส่วนของ CARES จะต้องถูกเอาไปช่วยในธุรกิจอุตสาหกรรมการบิน เช่น บริษัทโบอิ้ง (Boeing) หรือการลดหย่อนภาษีให้กับบริษัทขนาดใหญ่ ส่วนรีพับลิกันก็ต้องยอมหรี่ตาเพื่อยอมรับกับบทบาทของรัฐ (Big Government) ในการเข้ามาบริหารจัดการเศรษฐกิจแทนที่จะปล่อยให้กลไกตลาด (Market) ได้ทำงานอย่างเสรีไปตามอุดมการณ์ที่พรรคยึดถือ
กล่าวโดยสรุปแล้ว นโยบายเราไม่ทิ้งกัน : ภาคอเมริกัน นักการเมืองของเดโมแครตและรีพับลิกันต่างก็บรรลุเป้าหมายด้านนโยบาย(policy goal) และเป้าหมายทางการเมือง (political goal) ของตัวเองด้วยกัน
ทั้งสองฝ่าย ส่วนคนอเมริกันผู้เสียภาษีก็ได้รับความช่วยเหลือจริงๆ อย่างทั่วถึงทั้งจากรัฐบาลกลาง มลรัฐและท้องถิ่นของตัวเองทั้งสามระดับ เช่นเดียวกับตอนจ่าย
ภาษีก็ต้องจ่ายให้กับทั้งสามระดับนี้เช่นกัน
ดังนั้นหลักเกณฑ์พื้นฐานของ เราไม่ทิ้งกัน : ภาคอเมริกันก็คือรัฐบาลจะช่วยเหลือทุกคนที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งคนคนนั้นไม่จำเป็นต้องถือสัญชาติอเมริกัน (US Citizen) แต่จะเป็นชนชาติใดก็ตามที่เข้าประเทศทำงานและเสียภาษีให้รัฐอย่างถูกกฎหมาย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใครหรือธุรกิจ SME ใดเกิดหลบเลี่ยงหรือไม่ได้จ่ายภาษีปีล่าสุด 2562 ทั้งๆ ก่อนหน้านั้นอาจจะจ่ายมาโดยตลอด ก็จะหมดสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการต่างๆ ดังที่เล่าไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ ก็คือ การแสดงตัวเพื่อขอรับสิทธิหรือความช่วยเหลือต่างๆ จาก นโยบายเราไม่ทิ้งกัน : ภาคอเมริกัน นั้นวางอยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ เพราะส่วนใหญ่จะทำผ่านระบบออนไลน์ ผู้ขอรับสิทธิเพียงแต่ใส่ข้อมูลสถานภาพตัวเองหรือของธุรกิจตนเองเข้าไปตามความเป็นจริง เช่น ตกงานมานานเท่าไรแล้ว หรือ ธุรกิจปิดมานานเท่าไร รายได้ต่อปีเป็นยังไงมีการจ้างงานอีกคน ต้องจ่ายค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟต่อเดือนเท่าไร โดยไม่ต้องใช้หลักฐานอะไรมาก อยู่ที่ความเชื่อใจกันอย่างเดียว แต่นั้นก็เพราะส่วนหนึ่งรัฐบาลสามารถตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ของแต่ละคนได้อยู่แล้ว ว่าตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ จากการยื่นแบบฟอร์มการเสียภาษีในแต่ละปี
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี