เราเห็นยอดผู้ป่วยใหม่ในประเทศเป็นศูนย์ หลายวัน
บางวัน มีเฉพาะผู้ป่วยใหม่ที่อยู่ในสถานกักตัวของรัฐ ควบคุมไว้แล้ว สังคมก็สบายใจ ปลอดภัย
ทั้งหมดนี้ คือ ความสำเร็จของการบริหารจัดการ
ไม่ใช่โชคช่วย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี
ในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 มีต้นทุนมหาศาล
แลกกับการที่ประเทศไทยเรา ไม่ต้องมีผู้ป่วยระดับแสนคน ตายระดับพันคนหมื่นคน เหมือนในหลายๆ ประเทศ
ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก ชีวิตคนจะประเมินต้นทุนเป็นนกกาได้อย่างไร
ที่ผ่านมา ข้อเรียกร้องของสังคมเกี่ยวกับการเดินทางกลับประเทศไทย ก็มีความหลากหลาย
สังคมบางส่วน เห็นว่า คนไทยในต่างแดนไม่ควรเดินทางในช่วงที่มีการแพร่ระบาด มีความเสี่ยง
บางส่วน ต้องการให้คนไทยในต่างประเทศได้กลับบ้านทุกคน
รัฐจะต้องดูแลค่าเดินทาง ค่าที่พักกักตัว ค่าอาหาร ทุกอย่าง ฯลฯ
สุดท้าย รัฐบาลก็ดำเนินการอำนวยความสะดวก โดยสร้างระบบจัดการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด หากผู้เดินทางกลับมามีเชื้อติดตัวมาด้วย ก็จะได้ไม่แพร่กระจายสู่สังคมวงกว้าง
ล่าสุด ในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีการหารือ เรื่อง “ปัญหาการเบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกี่ยวกับการกักกันผู้เดินทางที่มาจากต่างประเทศ”
มีประเด็นข้อถกเถียง และข้อมูลการตัดสินใจที่น่าสนใจเรียนรู้
1. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบการแยกกัก กักกัน หรือคุมไว้สังเกตอาการของบุคคลโดยเฉพาะผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ สามารถเบิกค่าใช้จ่ายจากงบกลางได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณกำหนด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 อันเป็นเวลาที่เริ่มบังคับใช้มาตรการต่างๆ
2. การดำเนินการที่เกี่ยวกับการกักกัน (Quarantine) ผู้เดินทางที่มาจากต่างประเทศ 14 วัน ซึ่งส่วนราชการต่างๆ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ ได้รับมอบหมายจากทางราชการให้รับผิดชอบการจัดสถานที่แยกกัก กักกัน หรือคุมไว้สังเกตตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และตามข้อกำหนดออกตามความในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ณ สถานที่ที่รัฐจัดไว้ให้ (State Quarantine) ซึ่งเป็นมาตรการที่ใช้กันทั่วโลก
การดำเนินการในเรื่องนี้ ประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย
ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเดินทาง ฯลฯ
รัฐเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ถือว่า เป็นเรื่องที่ไม่ได้สมัครใจของผู้ถูกกักกัน และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์แก่การป้องกันการติดต่อและแพร่ระบาดของโรค
3. หน่วยงานที่รับมอบหมายให้รับผิดชอบ คือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยการจัดหาที่พัก อาหาร และยานพาหนะ รวมทั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นในการป้องกันและควบคุมโรคให้แก่ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศตั้งแต่ก่อนที่จะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (26 มีนาคม 2563) จนถึงปัจจุบัน
ทุกส่วนราชการได้ดำเนินการเบิกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง หรือทดรองจ่ายไปบ้างแล้วบางส่วน
เบื้องต้น กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเพื่อเบิกจ่ายในเรื่องดังกล่าว ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ใช้งบประมาณในส่วนของตนตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย
แต่ทุกส่วนราชการ ยังมีความกังวลใจว่า การดำเนินการดังกล่าวชอบด้วยพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 41 และมาตรา 42 หรือไม่ เพราะบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้เจ้าของพาหนะ หรือผู้ควบคุมพาหนะ หรือผู้เดินทางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นเอง
4. ผลการหารือ
ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การเกิดโรคระบาดโควิด-19 เป็นกรณีอุบัติใหม่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่ได้มีการวางแผนหรือเตรียมตัวล่วงหน้าในระบบบริหารจัดการปกติและการตรากฎระเบียบไว้รองรับ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการเทียบเคียงกับการปฏิบัติที่เคยดำเนินการมาร่วมกับแนวปฏิบัติใหม่ที่เกิดขึ้นตามวิธีปฏิบัติในนานาประเทศเพื่อให้สามารถดำเนินการในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที
และเมื่อพิจารณามาตรา 41 และมาตรา 42 ของพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 แล้วเห็นว่า เป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้เป็นสิทธิของรัฐในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากเจ้าของพาหนะหรือผู้ควบคุมพาหนะ หรือผู้เดินทางเข้าประเทศ หากเกิดโรคระบาดระหว่างประเทศขึ้น ดังนั้น รัฐจึงมีสิทธิที่จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายหรือไม่ก็ได้
ซึ่งรัฐบาลเคยดำเนินการรับผิดชอบเสียเองในทำนองเดียวกันนี้ในการจัดส่งเครื่องบินไปรับคนไทยในต่างประเทศเพื่ออพยพหลบภัยธรรมชาติ หรือภัยสงครามหรือจากการก่อความไม่สงบ ตลอดจนภัยอื่นๆ เพื่อเดินทางกลับประเทศไทยโดยรัฐเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายมาแล้ว
ดังนั้น ในกรณีนี้ซึ่งเป็นการเกิดโรคระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ได้จำกัดบริเวณและมีระยะเวลาการฟักตัวอย่างน้อย 14 วัน เพื่อป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออันตราย ประกอบกับรัฐไม่เคยเจรจากับสายการบินหรือผู้ถูกกักกันตัวไว้ก่อนให้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ในทางตรงกันข้าม หลายคนขอกลับไปกักตัวเองที่ภูมิลำเนาโดยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง แต่รัฐเห็นว่าบุคคลบางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงเพราะเดินทางมาจากประเทศที่เป็นเขตติดโรค มีประวัติการใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ สมควรควบคุมให้อยู่ในที่เดียวกันภายใต้การดูแลของรัฐ เพื่อสะดวกแก่การเฝ้าระวังระยะฟักตัวและแก้ไขหากปรากฏอาการ อีกทั้ง รัฐธรรมนูญมาตรา 47 บัญญัติให้บุคคลมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายซึ่งมาตรการกักกันตัวถือว่าเป็นมาตรการป้องกันโรคติดต่อเพื่อประโยชน์ของผู้นั้นเองและการแพร่ระบาดไปยังประชาชนทั่วไปที่รัฐพึงจัดให้มีขึ้นตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น รัฐจึงไม่ควรต้องเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าว
5. ด้วยเหตุนี้ คณะรัฐมนตรีจึงให้ความเห็นชอบในหลักการตามนโยบายของรัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบการแยกกัก กักกัน หรือคุมไว้สังเกตอาการของบุคคลโดยเฉพาะผู้เดินทางมาจากต่างประเทศสามารถเบิกค่าใช้จ่ายจากงบกลางได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณกำหนด ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 อันเป็นเวลาที่เริ่มบังคับใช้มาตรการต่างๆ จนกว่าคณะรัฐมนตรีจะมีมติประการอื่น
จะเห็นได้ว่า การใช้จ่ายเงินแผ่นดิน เป็นเรื่องที่มีรายละเอียด แม้ในสถานการณ์เร่งด่วนเพียงใดก็ตาม ยังต้องมีหลักเกณฑ์หลักการที่มีเหตุมีผล อยู่บนฐานประโยชน์สาธารณะของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี