วันนี้เป็นวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ตรงกับวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 7 เป็นห้วงเวลาระหว่างวันวิสาขบูชากับวันอาสาฬหบูชาจึงเป็นห้วงเวลาสำคัญที่สมควรเกริ่นเรื่องราวให้คนทั้งหลายได้รับทราบ เพื่อเตรียมความคิดจิตใจและรับเอาประโยชน์อันพึงมีพึงได้อันสมควรแก่การที่ได้เกิดมาในร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนา
วันวิสาขบูชาเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 และเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ในวันเพ็ญเดือน 8 พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรกเป็นปฐมเทศนา โดยแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร ทำให้พระสงฆ์รูปแบบบังเกิดขึ้น และทำให้พระรัตนตรัยครบองค์สาม
คือพระผู้มีพระภาคเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลกโดยการตรัสรู้นั้น และพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงประกาศพระธรรมที่ทรงตรัสรู้แก่กลุ่มปัญจวัคคีย์ พระธรรมที่ทรงตรัสรู้จึงถูกประกาศขึ้นในโลก และผลจากการแสดงธรรมครั้งแรกนั้นทำให้พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม และขอรับอุปสมบท ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงประทานการอุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ทำให้พระสงฆ์องค์แรกอุบัติขึ้นในพระพุทธศาสนาและทำให้พระรัตนตรัยครบองค์สาม
ดังนั้นสำหรับชาวพุทธเมื่อไหว้พระสวดมนต์แล้ว และนิยมสวดบทบูชาพระรัตนตรัยในท้ายที่สุดว่านัตถิ
เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง นัตถิ
เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง นัตถิ
เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง
ซึ่งแปลว่าข้าพเจ้าไม่นับถืออื่นใดเป็นสรณะ ข้าพเจ้านับถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ นับถือพระธรรมเป็นสรณะ นับถือพระสงฆ์เป็นสรณะ ซึ่งนับเป็นการปฏิญาณตนเพื่อถึงซึ่งความเป็นพุทธศาสนิกชน และเพื่อการครองตนตามวิถีทางแห่งพระพุทธศาสนา
แม้กระทั่งผู้ปรารถนาจะกระทำอธิษฐานฤทธิ์หรืออธิษฐานแบบชาวบ้านก็มักจะนิยมสวดมนต์บทนี้ โดยถือว่าเมื่อได้ปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ในคำสัตย์ปฏิญาณนี้แล้วก็จะบังเกิดฤทธิ์ในระดับต่างๆ กัน และอานุภาพแห่งฤทธิ์ระดับต่างๆ กันนั้นก็จะสัมฤทธิ์เป็นอภินิหารระดับต่างๆ กันดังปรารถนาตามควรแก่ภูมิธรรมของตนๆ ได้
การสวดบทนี้ก็คือการน้อมรำลึกถึงพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ ถึงพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเฉพาะคือเนื้อแท้ของพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นไปเพื่อความปล่อยวางจากสรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย ตลอดจนความมีความไม่มีทั้งหลายทั้งปวง โดยเฉพาะถึงซึ่งความปล่อยวางกิเลสอาสวะหรือที่เรียกว่าการดับซึ่งอุปาทานขันธ์อันเป็นทุกข์สมุทัย
ในห้วงเวลาดังกล่าวนี้จึงนอกจากเป็นเรื่องที่ชาวพุทธจะได้น้อมรำลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือพระรัตนตรัยเพื่อถึงซึ่งความเป็นมงคล เพื่อถึงซึ่งความสวัสดีแก่ตนและผู้คนรอบข้าง ในรอบรัศมีที่อานุภาพแห่งพระธรรมจะแผ่ไปได้ถึงตามกำลังภูมิธรรมของตนแล้ว ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทำความเข้าใจถึงความเป็นไปของห้วงเวลานับตั้งแต่วันที่ทรงตรัสรู้ไปจนกระทั่งถึงวันที่พระรัตนตรัยครบองค์สาม
ดังนั้นจึงเป็นแรงบันดาลใจในการทำบทความเรื่องนี้เพื่อเป็นธรรมบรรณาการแก่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งกำลังเผชิญหน้าอยู่กับวิกฤติทั้งโรคระบาด ทั้งวิกฤติทางเศรษฐกิจ ทั้งทางสังคม การเมือง และผลกระทบจากความขัดแย้งที่กำลังก่อตัวเป็นสงครามขนาดใหญ่อยู่ในปัจจุบันนี้ เพื่อหวังสามัญญผลให้คนทั้งหลายมีความสวัสดีโดยถ้วนหน้ากัน
ดังนั้นขอเราท่านทั้งหลายจึงตั้งใจสดับด้วยดี เพราะจะมีบทความลักษณะนี้ออกมาเป็นระยะๆ ตามควรแก่กาล เพื่อถึงซึ่งประโยชน์ดังว่านั้น ขอท่านทั้งหลายพึงติดตามและรับเอาสามัญญผลที่จะพึงมีพึงได้โดยชอบเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ภายใต้ร่มโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งเบื้องหน้าพระพักตร์เป็นแม่น้ำเนรัญชราและเมื่อทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงพุทธดำเนินไปยังริมแม่น้ำนี้แม้ก่อนวันที่ทรงตรัสรู้ เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้เสด็จไปที่ริมแม่น้ำนี้ทรงกระทำสัตยาธิษฐานตั้งเอาความเพียรที่จะบำเพ็ญภาวนาจนกว่าจะบรรลุธรรม มิฉะนั้นก็จะไม่ทรงลุกออกจากที่บำเพ็ญภาวนานั้นอีกเลย
จากนั้นก็ทรงกระทำการอธิษฐานที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานั้น โดยทรงลอยถาดทองที่นางสุชาดาถวาย ตั้งสัตยาธิษฐานว่าถ้ามาดแม้นพระองค์จะทรงตรัสรู้ตามอย่างของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็ขอให้ถาดทองลอยทวนกระแสน้ำที่ไหลลงต่ำตามธรรมชาติ
ครั้นทรงกระทำอธิษฐานเสร็จแล้วก็ทรงลอยถาดทองลงในแม่น้ำเนรัญชรา ถาดทองลอยออกจากฝั่งไปอย่างช้าๆพอพ้นแนวตลิ่งออกไประยะหนึ่ง แทนที่ถาดทองจะลอยไปตามกระแสน้ำเหมือนปกติแห่งวัตถุทั้งหลายที่ลอยน้ำแล้วจะลอยไปตามกระแสน้ำ ถาดทองนั้นกลับลอยสวนทวนกระแสน้ำไปอีกทางหนึ่งเป็นที่อัศจรรย์
ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะและนางสุชาดาตลอดจนคณะที่เฝ้าอยู่ ณ ที่นั้นมีความปีติยินดีเป็นที่ยิ่ง
หลังจากนั้นก็ทรงเสด็จไปประทับที่ร่มต้นศรีมหาโพธิ์ กระทำสมาธิไปโดยลำดับ และในที่สุดก็ทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ในวันรุ่งขึ้นบรรดาพรรคพวกของนางสุชาดาเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ามีความผ่องใสยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยเห็นก็ตกตะลึงพรึงเพริด และนึกรู้ว่าเห็นทีเจ้าชายสิทธัตถะจะทรงตรัสรู้เป็นแน่แล้ว บ้างก็รีบไปบอกกล่าวให้นางสุชาดาทราบ และเชิญนางสุชาดาให้รีบมาเฝ้า ณ ที่นั้น
หลังจากปฏิสันถารกันแล้วทุกคนก็รับรู้พร้อมกันว่าณ บัดนี้พระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นแล้วในโลก เจ้าชายสิทธัตถะที่เคยพบเคยเห็นเคยสนทนาด้วยไม่ใช่เจ้าชายสิทธัตถะคนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่ทรงเป็นพุทธะที่จะเป็นที่พึ่งและที่จะประทานแสงสว่างและทางรอดหรือทางพ้นทุกข์ให้แก่ชาวโลกทั้งหลาย
หลังจากทรงตรัสรู้แล้ว สามัญญผลแห่งการตรัสรู้นั้นได้บังเกิดมหาปีติขึ้น บังเกิดเป็นความสุขอย่างยิ่งขึ้น ซึ่งความสุขอย่างยิ่งนี้ไม่ใช่ความสุขแบบชาวโลก แต่เป็นความสุขในชื่อแห่งธรรมที่เปรียบเทียบให้เห็นว่าเป็นความสุขอีกชนิดหนึ่ง ดังที่บาลีได้ใช้คำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง ซึ่งแปลว่านิพพานคือความสุขอย่างยิ่ง ความสุขอย่างยิ่งที่ว่านี้นี่แหละคือความสุขที่บังเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ณ เวลานั้น
เป็นความสุขที่มีชื่อเฉพาะว่าวิมุตติสุข ซึ่งแปลว่าเป็นความสุขที่เกิดจากวิมุตหรือความหลุดพ้น หรือเป็นความสุขชนิดพิเศษที่มีชื่อเฉพาะว่าวิมุตติสุข
โดยภาวะแห่งวิมุตนั้นจะเกิดขึ้นในพลันที่จิตหลุดพ้นออกจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ดังที่ปรากฏความในอนัตตลักขณสูตรว่า วิราคา วิมุตจะติ วิมุตตัสมิง วิมุตตะมิติญาณัง โหติ
ซึ่งแปลว่า เพราะคลายความติดยึด จิตก็หลุดพ้น เมื่อจิตถึงซึ่งมิติแห่งความหลุดพ้นแล้วก็เกิดความรู้ยิ่งว่าหลุดพ้นแล้ว
ภาวะความสุขชนิดพิเศษดังกล่าวนั้นจึงได้ชื่อว่าวิมุตติสุข มีความอิ่มเอมอิ่มเอิบผ่องใสทั่วสารพางค์กาย ประหนึ่งว่ามีรัศมีเป็นแสงสีทองรอบพระวรกาย
เพราะความอิ่มเอิบอิ่มเอมดังกล่าวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงยังคงทรงประทับอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมอีก 49 วัน โดยเสด็จประทับที่ร่มไม้ 7 ชนิด ชนิดละ 7 วันรวมเป็น 49 วัน
ในระหว่าง 49 วันนั้นก็ทรงทบทวนสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และปรับระบบสิ่งที่ทรงตรัสรู้นั้นให้เป็นระบบ เป็นแบบแผน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการที่จะทรงประทานสิ่งที่ทรงค้นพบนั้นให้แก่ชาวโลก
และในระหว่างนั้นก็ทรงรำลึกว่าพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นเป็นของลึกซึ้ง ยากแก่ความเข้าใจ จะสามารถแนะนำคนทั้งหลายให้เข้าถึงซึ่งพระธรรมนั้นได้หรือไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี