ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งในช่วงเดือนที่ผ่านมา ก็คือการที่รัฐบาลประยุทธ์ตัดสินใจไม่อุ้มการบินไทย โดยเลือกที่จะให้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการในศาลล้มละลายทั้งของไทยและสหรัฐฯ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ห้าวหาญ น่าทึ่ง แม้จะเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก เพราะยังไม่รู้ว่าเจ้าหนี้ต่างชาติจะยอมรับแผนฟื้นฟูหรือไม่ก็ตามที แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่การบินไทยจะได้ปฏิรูปตนเองให้แข็งแกร่งเพียงพอที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และกู้ชื่อเสียงกลับมา
อย่างไรก็ดี ทั้งที่พลเอกประยุทธ์ อยู่ในอำนาจร่วม 5 ปีภายในชื่อรัฐบาล คสช.สังคมก็ไม่เคยได้เห็นการแสดงท่าทีอะไร กับปัญหาการขาดทุนต่อเนื่องสะสมของการบินไทยเลย ก็เลยเป็นที่น่าแปลกใจว่าเหตุใด รัฐบาลประยุทธ์จึงเพิ่งจะมาแสดงความเด็ดขาดกับการแก้ไขปัญหาการบินไทย ในตอนที่องค์กรตกอยู่ในสภาวะแทบจะเกินเยียวยา หรือล้มละลาย
ตลอดปี 2557 ถึง 2562 การบินไทย ในฐานะรัฐวิสาหกิจของชาติไทย (หมายความว่าคนไทยร่วมเป็นเจ้าของ) มียอดขาดทุนรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งแม้องค์กรจะมีการขาดทุนสะสมมาก่อนหน้านั้นบ้างก็ตาม หากยุคที่รัฐบาล คสช. เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ใส่ใจดูแลกันจริงจังแต่เนิ่นๆ การขาดทุนต่อเนื่องอย่างมโหฬารของการบินไทย ก็คงไม่ถึงขั้นนี้
อย่าลืมว่า รัฐบาล คสช. ภายใต้การนำพาของ พลเอกประยุทธ์เป็นผู้แต่งตั้งรัฐมนตรีคลัง และรัฐมนตรีคมนาคม คณะกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูงทั้งหมด จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า รัฐบาล คสช. คือผู้รับผิดชอบโดยตรงอย่างเต็มที่ในเรื่องการบินไทย ในกรณีการบินไทยจึงเป็นการสะท้อนความล้มเหลวของการบริหารจัดการบ้านเมืองของรัฐบาล คสช.
5 ปีของการบินไทยภายใต้อาณัติของรัฐบาล คสช. แม้จะมีรายได้รวมถึงปีละ 170,000-200,000 ล้านบาท แต่กลับประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง (มีกำไรก็แค่ปีเดียว เป็นเงินกี่ร้อยล้านบาท ส่วนอีก 4 ปี ขาดทุนโดยเฉลี่ยปีละหมื่นกว่าล้านบาท) เหตุใด จึงมิได้มีการดำเนินการใดๆ อย่างจริงจังในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ถูกทับถมกันมา โดยเฉพาะปัญหาที่รู้กันอยู่แล้ว เช่น กรณี เครื่องบิน 10 กว่าลำที่จอดนิ่งสนิท (ส่วนใหญ่ถูกสั่งซื้อมาในสมัยรัฐบาลทักษิณ) กลายเป็นภาระค่าดูแลและซ่อมแซมปีละกว่า 1,000 ล้านบาท ไปเรื่อยๆ เรื่องนี้ ทำไมจึงไม่มีใครในรัฐบาล คสช. คิดตัดสินใจที่จะแก้ไข ไม่ว่าจะเป็น การขายทอดตลาด หรือนำไปให้เช่าเพื่อสร้างรายได้หรือใช้ประโยชน์ที่เหมาะกับเส้นทางการบิน หรือโอนให้กับสายการบินในเครือ
ผมเองจึงอยากขอเรียกร้องให้รัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้ออกมาชี้แจง และให้ข้อมูลกับสังคมไทย ในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับการบินไทย ในช่วง 5 ปีของรัฐบาล คสช.
ระหว่างที่รอฟังข้อมูลจากฝ่ายรัฐฯ ผมก็อยากขอตั้งข้อสังเกตบางประเด็น ที่น่าจะเป็นสาเหตุร่วมที่ทำให้การบินไทยกลายเป็นผู้ช่วยหลักในแวดวงธุรกิจการบิน ดังนี้
1.คุณภาพของคณะกรรมการบริหารที่ดูแล้วค่อนข้างน่าผิดหวัง โดยสังคมก็รู้ๆ กันอยู่ว่า ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ต่างมากันด้วยการแทรกแซงทางการเมือง (ตั้งแต่สมัยนักการเมืองครองเมืองมายันสมัยรัฐบาล คสช.) ในขณะที่คณะกรรมการที่มาดำรงตำแหน่งอย่าง ปลัดกระทรวงการคลัง และปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะตัวแทนของภาครัฐที่ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 51 ก็แทบไม่ได้แสดงบทบาทใดๆ ในการปกป้องผลประโยชน์ชาติ และผลประโยชน์ของการบินไทยแต่อย่างใด
2.ปัญหาในด้านขีดความสามารถ และธรรมาภิบาลของฝ่ายการเมือง โดยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในนามผู้ถือหุ้นใหญ่ของรัฐบาล และรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมในฐานะผู้กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจการบินไทย มิได้แสดงท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจกับปัญหาการขาดทุนในแต่ละปีของการบินไทยแต่อย่างไร เสมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่คิดลงมาสั่งการแก้ไข
3.ธรรมเนียมที่ว่า ผู้บริหารระดับสูงต้องมาจากคนนอกวงการ (มิใช่ผู้ที่ไต่เต้าขึ้นมาจากคนในองค์กร) แน่นอนว่า ความผูกพันกับองค์กรนั้นย่อมมีน้อย นอกจากนั้น หลายคนยังไม่มีความสันทัดในกิจการการบินพาณิชย์ สุดท้ายก็แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงรับคำสั่ง และดำเนินการสนองนโยบายคณะกรรมการบริหาร (ที่แต่งตั้งโดยฝ่ายการเมือง) และรอคำสั่งรัฐบาลนี้
4.ในปัจจุบัน การบินไทยจ้างพนักงานประมาณ 30,000 คนกลายเป็นปัญหาบุคลากรล้นตำแหน่งและงาน เนื่องจากบางคนนั้นมาด้วยเส้นสาย หรือระบบอุปถัมภ์ ทำให้ได้งานในองค์กร ทั้งๆ ที่อ่อนความสามารถ อ่อนความเป็นมืออาชีพ ก็หวังว่าจะมีการรัดเข็มขัด ลดภาระด้วยการคัดเลือกเฉพาะบุคลากรที่มีฝีมือ และอยู่ในตำแหน่งที่จำเป็นก็ไม่เกิดขึ้น
5.การขาดความอิสระในการบริหาร เนื่องมาจากถูกควบคุมโดยคณะกรรมการบริหาร สลับกับการถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ส่งผลให้องค์กรขาดการริเริ่ม สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ จนระดับความเป็นมืออาชีพตกต่ำลง
6.ค่าใช้จ่ายที่หมดไปโดยไม่จำเป็น เช่น กับการต้องเก็บรักษา ซ่อมบำรุงเครื่องบินที่ใช้การไม่ได้กว่า 10 ลำดังกล่าวบ่งบอกความไม่โปร่งใสของการจัดซื้อในช่วงรัฐบาลทักษิณ
7.การทำงานแบบขาดการบูรณาการของฝ่ายต่างๆ เป็นไปในลักษณะต่างคนต่างทำ และแข่งขันกันเอง จนกลายเป็นการทำงานซ้ำซ้อนกัน และขาดความรับผิดชอบ
8.ไม่มีความคิดอ่านที่จะลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ตั้งแต่อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้เครื่องของชำร่วย โดยเฉพาะอาหาร เครื่องดื่มที่บริการบนเครื่องบิน ยังใช้พลาสติกห่ออาหาร กล่อง ช้อนส้อม คุณภาพต่ำ (แต่เชื่อว่าราคาจัดซื้อสูงกว่าคุณภาพมาก รวมไปถึงความโปร่งใสของการจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง) และหล่อลื่นต่างๆ
9.การบริการบนเครื่องบินที่ขาดความเอาใจใส่ในการบริการ ทำงานแบบให้พ้นๆ ไป ขาดความเคารพและความสุภาพต่อผู้โดยสาร (โดยเฉพาะในชั้นประหยัด) อีกทั้งในยุคหลังๆ การแต่งกายของพนักงานต้อนรับทั้งบนบกและบนเครื่องบินก็ดูไม่ค่อยเรียบร้อยดูสะเพร่า ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้ดูไม่มีความเป็นมืออาชีพ
10.ระบบการขายตั๋วผ่านเอเย่นต์ต่างๆ ที่ดูแล้วไม่โปร่งใส สะท้อนการมีนอกมีใน
11.การไม่คิดการว่าจ้างบริษัทบริการตรงเคาน์เตอร์ตามสนามบินต่างๆ มาทำงานแทนการส่งพนักงานการบินไทยไปประจำการ เพื่อลดค่าใช้จ่าย
12.การปรับเส้นทางการบินเพื่อให้คุ้มทุนก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนอย่างจริงจัง สุดท้ายก็ทำให้เกิดความไม่คุ้มทุนในการบิน และการบินไทยเป็นเครื่องบินระดับชั้นสูงส่ง (Premium) แต่ขายตั๋วและมีที่นั่งชั้นประหยัดมากเกินไป ก็เท่ากับลดรายจ่าย
13.การเปิดบริษัทลูก เพื่อแข่งขันในระดับราคาประหยัด (Low cost) ก็ไม่คุ้มทุน คุ้มค่า แถมยังอธิบายเหตุผลสนับสนุนไม่ได้ว่า ทำไมการบินไทยจึงไม่ลงไปดำเนินการเองทั้งหมด
เรื่องที่กล่าวมาล้วนเป็นข้อสังเกตจากคนนอก แต่ถือเป็นภาระรับผิดชอบของคนใน คือการบินไทย ภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ ที่จะเอาความข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ต่อสังคมไทย (โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชั่นต่างๆ) รวมทั้งควรระบุปัญหาได้ว่า ใครกันบ้างที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการบริหารงานที่ผิดพลาด ล้มเหลว จนสร้างความหายนะทางการเงินแก่การบินไทย ซึ่งถือเป็นความเสียหายของประชาชนพลเมืองทั้งปวงที่ร่วมเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น
การกระโดดข้ามมาตัดสินใจดำเนินการในเรื่องการฟื้นฟู โดยไม่ชี้แจงถึงปัญหาความล้มเหลวที่ผ่านมา สังคมจึงมองได้ว่า เป็นการส่อเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นการร่วมกันปกปิด (Cover up)แผนฟื้นฟูที่กำลังจะนำเสนอ จึงไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคมไทยได้ เพราะเมื่อไม่รู้ว่าปัญหาแท้จริงอยู่ที่ไหน แล้วแผนใหม่ จะไปแก้ปัญหาได้ถูกจุดจริงหรือ?
รีบทบทวนปัญหาเสียแต่บัดนี้ แล้วเสนอแผนแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด แม้ว่าวันนี้ การบินไทยกำลังจะหลุดออกจากสถานะรัฐวิสาหกิจไทยจากแผนฟื้นฟูของรัฐบาล แต่อย่างไรก็ยังได้ชื่อว่าสายการบินแห่งชาติอยู่ดี นั่นแปลว่า การแก้ไขปัญหาการบินไทยครั้งนี้ ยังเป็นเรื่องของคนไทยทุกๆ คน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี