เริ่มจากแฟนเพจ “Artytus By jarunnapat” โพสต์ภาพวาดในผนังโบสถ์ภายในวัดหนองเต่า หลวงปู่ทิมดำทิมขาว ตำบลอุทัยเก่า อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี
เป็นภาพกลุ่มคนที่มารอรับเสด็จพระพุทธเจ้า ตามพุทธประวัติ
จุดที่เป็นประเด็น คือ ในภาพนั้น ได้มีภาพของ “สิตางศุ์ บัวทอง” กำลังชี้ไปที่ผลส้มที่อยู่บนพื้น
ผู้โพสต์ระบุว่า “ตำนานส้มหยุด หยุดโดยไม่มีไรกั้น ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ที่ทุกคนต้องจดจำ แม่สิตางค์ บัวทอง อีก 30-50 ปี ข้างหน้ากลับมาย้อนดู ทุกคนจะได้รู้ว่านี่คือยุคที่แม่สิตางศุ์ ปังมาก #ตำนานส้มหยุด2563 วัดหนองเต่า ต.หนองฉาง จ.อุทัยธานี”
1. “สิตางศุ์ บัวทอง” เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริง เป็นคนดังในโลกออนไลน์
เขาเคยเล่าเรื่องลึกลับในชีวิตตนเอง ว่าด้วยเรื่อง “ส้มหยุด” โดยเล่าว่า “ตอนสัก 5-6 ขวบ หลังบ้านมันเป็นบ้านคนจีน แล้วแบบแถวพรานนกอะเนอะ มันเป็นลาดไป เป็นพื้นไม้ แล้วเราถือส้ม มันกลิ้ง เราบอกอุ๊ยหยุด เดินไปดู มันหยุด ส้มหยุด หยุดโดยไม่มีอะไรกั้น แบบมันหยุดเองอะความจริงมันต้องกลิ้งหล่นไง แล้วมันกำลังจะหล่นน้ำอะ แล้วพอเราบอกให้หยุด มันหยุด”
เรื่องเล่านี้ เป็นเสมือนตำนานเรื่องเล่าส่วนตัวของคนดัง
เป็นที่รู้จักกันในแวดวงคนติดตาม “สิตางศุ์ บัวทอง” ในโลกโซเชียล
2. จากเรื่องเล่าส่วนบุคคลของ “สิตางศุ์ บัวทอง” ถูกนำไปวาดไว้เป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดบนผนังโบสถ์
เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม
ปรากฏว่า นักวิชาการศาสนาชำนาญการ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุทัยธานี นายธรรมนันท์ จุฑาธนทรัพย์ และเจ้าหน้าที่ รุดเข้าตรวจสอบภาพจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์วัดหนองเต่า เพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับความเหมาะสมของภาพ
นายธรรมนันท์ระบุว่า ภาพเหมือน สิตางศุ์ บัวทองนั้น แม้ภาพจะมีขนาดไม่ใหญ่ แต่อิริยาบถมีความไม่เหมาะสม เพราะการเฝ้ารับเสด็จพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ตั้งตารอคอย ภาพต้องมีความเหมาะมากกว่านี้ แต่ภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ไม่เงยหน้า กลับก้มหน้าและชี้ไปที่ผลส้ม ซึ่งได้คำแนะนำกับทางศิลปินว่าให้ดูถึงความเหมาะสม ภาพจะเป็นภาพของสิตางศุ์บัวทอง ก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ได้แนะนำให้แก้ภาพให้เป็นลักษณ์ยกมือไหว้ก็จะเหมาะสมกว่า
3. อีกด้านหนึ่ง ในสังคมก็มีเสียงคัดค้าน ไม่ให้ลบภาพ หรือแก้ภาพที่ศิลปินสร้างสรรค์ไว้
นายวรา จันทร์มณี นักวิชาการอิสระ อดีตเลขาฯส่วนตัว “ท่านอังคาร” หรือ “อังคาร กัลยาณพงศ์” ศิลปินแห่งชาติ ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช แสดงความเห็นว่า สำนักงานพุทธฯ ควรหยุดก้าวก่ายภาพจิตรกรรมฝาผนัง“สิตางศุ์ ส้มหยุด” และไปทำเรื่องที่เป็นเรื่องกว่านี้
โดยให้เหตุผลถึงการสร้างสรรค์ภาพจิตรกรรมฝาผนังตามวัดวาอาราม ปกติก็จะสะท้อนวิถีชาวบ้านในแต่ละยุคเอาไว้ด้วย ไม่ควรถูกก้าวก่ายจากอำนาจรัฐ อันจะเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และทำลายศิลปะที่สร้างสรรค์ อีกทั้งเป็นการลบอรรถรสที่บันทึกความทรงจำแห่งยุคสมัย
4. แฟนเพจ “ภาษาไทย มหาวิทยาลัยรามคำแหง” ได้นำเสนอแง่คิด โดยหยิบยกมุมมองของศิลปินแห่งชาติ “น. ณ ปากน้ำ” (ประยูรอุลุชาฎะ) ระบุว่า
“ในขบวนภาพเขียนอันใหญ่โตเต็มผนัง ดังเช่นภาพมารผจญของไทยนั้น ดูแล้วเคร่งเครียด ดังนี้ ศิลปินจึงมักถือโอกาสแทรกภาพลามก หรือกามศิลป์ลงไปด้วย แต่ก็พยายามจะมิให้เห็นชัดเจน ถ้าตาไม่ซุกซนจริงก็มองไม่เห็น ต้องมองนานๆ และสอดส่ายจนทั่วจึงมองเห็น เขาซ่อนเงื่อนงำไว้อย่างน่าชม ใครเห็นเข้าก็อดจะหัวเราไม่ได้ นั่นก็คือจิตรกรโบราณเขาแทรกบทตลกไว้ในแง่มุมไม่เปิดเผย เพื่อจะคลายความเคร่งเครียดลง จะว่าลามกก็ไม่ถูกเรื่อง สมัยโบราณเขาถือว่าเรื่องโป๊และเปลือย หรือกามศิลปที่แอบซ่อนไว้ เป็นเรื่องตลก เราก็ต้องทำให้เหมือนคนโบราณจึงจะเป็นการดี เราจะเอาใจของคนสมัยนี้ไปใส่ในเรื่องของคนโบราณ ย่อมจะเป็นการผิดกาลเทศะ
...เรื่องเช่นนี้ จะว่าเป็นเรื่องลามกก็ใช่ที่ แท้จริงเป็นกระจกเงาสะท้อนให้เห็นภาพชีวิต เป็นแง่มุมที่เราไม่ค่อยเห็นกันและเป็นเครื่องยืนยันถึงวรรณคดีขุนช้างขุนแผน ตอนพลายแก้วแอบย่องเข้าหานางพิมพิลาไลยนั้น เป็นเรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาวสมัยนั้น ซึ่งชอบคนธรรพ์วิวาห์มากกว่าจะสู่ขอกันตามประเพณี ด้วยไปติดขัดที่ค่าสินสอดทองหมั้นแพง และต้องใช้จ่ายเงินทองสูงในการสู่ขอ ปลูกเรือนหอและแต่งงานด้วยเป็นเรื่องการปฏิบัติตามประเพณีของสังคม อันล้วนเป็นอุปสรรคของหนุ่มสาวที่รักชอบพอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเจ้าหนุ่มที่ยังตั้งตัวไม่ได้ การลักลอบเข้าหากันจึงเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมเช่นนั้น ถ้าเราได้ล่วงรู้ความจริงก็อาจจะเห็นใจเขาด้วยซ้ำไป
ดังนี้ ภาพกามศิลป์ที่แอบแฝงและเป็นคล้ายบทตลกกลายๆ นั้น อาจมีเบื้องหลังที่ระทมขมขื่นแอบแฝงอยู่ กลายเป็นปัญหาอันหนักหน่วงของสังคมในยุคนั้น เป็นบทบาทสำคัญที่ไม่มีใครแก้ไขได้ ด้วยมาตรการของสังคมแต่ละสมัย เราก็รู้อยู่แล้วว่ามีกำแพงอันเข้มแข็ง เป็นเกราะกำบังสังคมแต่ละชั้น แน่นหนาเพียงไร และไม่เคยมีใครมาแก้ไขได้ ว่าชาติใดภาษาใดก็ต้องไปตามบุญตามกรรมกันเช่นนั้น และภาพเขียนที่ปรากฏก็เป็นการสะท้อนภาพของสังคมให้เราเห็นอย่างชัดแจ้ง...”
5. สุดท้าย ถ้าถามว่า ความพอดีของเรื่องนี้อยู่ตรงไหน?
เห็นว่า เราควรใช้หลักพิจารณา ดังนี้
ภาพนั้น ลบหลู่ดูหมิ่นพระพุทธศาสนาหรือไม่? คำตอบคือไม่ภาพนั้น ใส่ร้ายบุคคลอื่นด้วยความเท็จ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่? ก็ไม่
ภาพนั้น เข้าข่ายลามกอนาจาร หรือหยาบโลน จนถึงขนาดทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถานที่ ส่อเจตนาบิดเบือนทำลายความเลื่อมใสศรัทธาของผู้คนต่อพระพุทธศาสนา หรือไม่? คำตอบก็คือไม่
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พศ.จะไปให้ศิลปินลบภาพ หรือแก้ภาพเพื่ออะไร?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี