วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
โรคระบาดโควิด-19 กำลังระบาดทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ได้นำเอาอภิมหาความปั่นป่วนมาสู่วิถีชีวิตและการงานของคนทั้งโลก ซึ่งถือเป็นบทเรียน และประสบการณ์ใหม่ของมนุษยชาติ
ประชาคมโลกได้ตระหนักแล้วว่า ชีวิตและการงานกิจธุระจากนี้ต่อไป จะไม่มีวันเหมือนเดิม ฉะนั้น ถึงเวลาที่จะต้องปรับตัว ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และกิจธุระต่างๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นกันมาก่อน
ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าสิ่งที่สำคัญคู่ขนานไปกับภารกิจการปราบโรคระบาดโควิด-19 ก็คือ การประคับประคองเศรษฐกิจสังคมเฉพาะหน้าให้อยู่รอดไปได้ และต้องคิดเผื่อถึงอนาคต (อย่างน้อยก็ในระยะปานกลาง)
วงการต่างๆ ในแต่ละประเทศ และในแวดวงองค์การระหว่างประเทศ ต่างก็เริ่มคิดและปรับวางแผนกันแล้ว ประเทศไทยเราเองจะอยู่เฉยคงไม่ได้ ทุกหมู่เหล่า
จะต้องเข้ามาร่วมคิดการต่างๆ จะต้องมีการเสวนา และร่วมมือวางนโยบายและแผน รวมทั้งมาตรการกันอย่างเร่งด่วนด้วย โดยภาครัฐบาลควรได้ทำตนเป็นแกนนำ และเป็นผู้เปิดเวทีหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันในเรื่องเหล่านี้
ประเด็น หรือคำถามคือ ประเทศไทยจะต้องปรับตัวอย่างไร และรูปโฉม รูปร่างหน้าตาของประเทศไทยควรจะเป็นอย่างไรกัน?
แต่ก่อนที่จะคิดกันว่า รูปโฉมเราในอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ควรถามกันก่อนว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร และประเทศไทยมีจุดอ่อน จุดแข็งอะไรบ้าง
เมื่อใดที่รู้ว่าตัวเราเป็นอย่างไรแล้ว ก็จะได้คิดกันต่อได้ถูกทางว่า แล้วไทยเราจะต้องทำอะไรต่อไปเพื่อความอยู่รอด และกำหนดทิศทางเพื่อความเจริญก้าวหน้าต่อไป
ความเป็นจริงก็คือ เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาตลาดโลกทั้งการลงทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้ต่างๆ การค้าขาย และการท่องเที่ยว รวมทั้งธุรกิจการขนส่งต่างๆ แต่การพึ่งพาโลกต่อไปจะยากลำบากยิ่งขึ้น เพราะต่างต้องช่วยตัวเองเป็นสำคัญก่อน ก็จะข้องแวะซึ่งกันและกันน้อยลง
ฉะนั้น การพึ่งตัวเองให้มากที่สุด รวมทั้งการพึ่งพาซึ่งกันและกันในกรอบของประชาคมอาเซียนจึงน่าจะเป็นนโยบายหลัก และหลักปฏิบัติที่สำคัญระดับแรกๆ
แต่จะพึ่งพาตนเองได้ก็ต้องตระหนักรู้ว่าไทยเรามีทุนทรัพย์ (Assets) อะไรบ้าง
อาทิ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติแวดล้อม การปลอดภัยจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ขีดความสามารถสติปัญญาของคนไทย ความอุดมสมบูรณ์ทางด้านพืชพันธุ์ รวมทั้งแสงอาทิตย์ ความคิดและจิตใจที่เปิดกว้างเป็นกันเองของคนไทย เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน ไทยเราก็มีจุดอ่อนคือ คอยเป็นแต่มือปืนรับจ้างในการผลิตสินค้าให้ชาวบ้าน ชอบซื้อเทคโนโลยีคนอื่นมาใช้งานโดยไม่คิดวิจัยกันเอง และชอบซื้อหรือเช่าวิธีการบริหารจัดการและวัตถุดิบมาประกอบการธุรกิจ (Franchise) นอกจากนั้น เรายังอ่อนด้อยในเรื่องการค้นคว้าวิจัยและพัฒนา คือการไม่ใช้สมองสติปัญญาของตนเองให้เต็มที่เต็มความสามารถ เป็นต้น
ในภาพรวมไทยเราได้วางตัวเองให้เป็นคลังอาหารโลก เป็นสถานพยาบาลโลก เป็นแหล่งท่องเที่ยวโลก เป็นช่างประกอบผลิตภัณฑ์ฝีมือดี แต่ไทยมักพึ่งเงินทุนและเทคโนโลยีของต่างประเทศ
แต่มาบัดนี้ประชาคมโลกจะจับจ่ายใช้สอยน้อยลงเดินทางท่องเที่ยวน้อยลง จะลงทุนในประเทศ หรือในภูมิภาคของตนเองมากขึ้น ฉะนั้น ไทยเราก็ต้องเพิ่มตลาดภายใน ตลาดชายแดน และตลาดประชาคมอาเซียนแทนมากขึ้น และในการนี้ไทยต้องปรับตัวเอง เช่น
- ปรับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพไปกับการรักษา ทำนุบำรุงธรรมชาติแวดล้อม คือมุ่งคุณภาพ (Quality) ของนักท่องเที่ยวมากกว่าจำนวนปริมาณ (Quantity)
- พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอาหาร อาหารเสริม ไปจนถึงยารักษาโรคภัยต่างๆ ด้วยการค้นคว้าวิจัย และพัฒนา
- เร่งขยายพัฒนาบุคลากรทางด้านการแพทย์ ด้านอาหาร ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ด้านพลังงานหมุนเวียนและทดแทน โดยเฉพาะการใช้แสงอาทิตย์และพืชเป็นหลัก
- การปรับปรุงการศึกษา โดยการให้ความสำคัญยิ่งต่อคุณภาพของครูบาอาจารย์ เพื่ออำนวยให้เด็ก คนหนุ่มคนสาว รู้ทันโลก มีทักษะ และคิดเป็น ไตร่ตรองเป็น
- การผลิตแรงงานท้องถิ่นต้องสอดคล้องกับอุตสาหกรรมและธุรกิจบริการดังกล่าว เป้าหมาย
- ระบบราชการต้องมีไว้เพื่อบริการประชาชน และเป็นผู้รักษากฎเกณฑ์กติการกลางเพื่อความเที่ยงธรรม
- การรณรงค์ให้ประชาชนพลเมืองมีความรับผิดชอบต่อสังคม มีจริยธรรม มีจรรยาบรรณ ไม่โอนอ่อน หรือตกเป็นทาสของระบบอุปถัมภ์ ระบบฮั้ว ระบบดุลยพินิจ หรือนัยหนึ่งให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และไม่ทำลายสังคม
- ความสะอาดของร่างกาย สถานที่ทำการ สถานที่สาธารณะต่างๆ ก็ต้องให้เป็นเรื่องจำเป็น และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตธรรมดาๆ ประจำวันของทุกคน
- ระบบการประชุมจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ต้องเปิดเผยให้เข้าถึง ตรวจสอบ ทักท้วง ท้วงติง และเสนอทางเลือกที่ดีกว่าได้
- รับฟังข้อคิดเห็นและคำแนะนำและเรียนรู้ โดยเฉพาะที่เรียกว่าการบริหารจัดการที่ดี (Best Practices) ขององค์การระหว่างประเทศ และจากมิตรประเทศต่างๆ เป็นต้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่เสนอมา ก็หวังว่าจะได้เป็นข้อเสวนาของสาธารณชนและวงการต่างๆ โดยหวังว่าผู้นำประเทศจะไม่เอาแต่คิดเองเออเองกันแต่ในกลุ่มคนไม่กี่คน ขอให้โปรดตระหนักว่า ประเทศชาตินั้นเป็นของทุกคน ดังนั้นทุกคนจึงมีสิทธิ์ และมีหน้าที่ที่จะมีส่วนร่วมในการปรับตัวของสังคมไทย
เราต้องไม่เพียงแค่หวังว่าเอาแค่รอดชีวิตจากโควิด-19 หากแต่ประเทศไทยนั้นต้องรอด และสามารถลุกขึ้นยืน ก้าวเดินต่อไปได้อย่างสง่างาม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

'ชนนพัฒฐ์'พร้อมสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ประกาศวางมือทางการเมือง ถ้าผิดจริง
ตะลึง! สิงคโปร์ยึด'นอแรด'คาสนามบินชางงี ลอบขนจากแอฟริกาจ่อส่งลาว
นักวิเคราะห์จีนยก'พระราชินีสุทิดา' เป็นต้นแบบผู้หญิงยุคใหม่
ศึกบัตรทองเดือด!!! 'หมอเหรียญทอง'ปลุกต้าน NGO
สะเทือน'เต้น'!!! 'ครูวีระ' ย้ำชัด ผลงานล้นฟ้าก็ไม่ยกเว้นโทษ หากทำผิดกฎหมาย ชี้คดีภาษี'ทักษิณ'คือบทเรียน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี