กรณีการ “อ้างว่า” มีการ “อุ้ม” นายวันเฉลิมสัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหลบหนีจากประเทศไทยไปกบดานอยู่ที่กัมพูชา เพราะไม่ไปรายงานตัวกับ คสช. (ซึ่งคดีนี้จบไปหลังการจบสิ้นของ คสช. แล้ว) กับคดีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ (ซึ่งความผิดก็ไม่สูงมาก) กำลัง“ถูกทำ”ให้เป็นเรื่องเกินกว่ารูปการณ์ของ “คดีอาชญากรรม” ไปสู่คดีการเมือง คือจะให้เป็นอาชญากรรมโดยรัฐให้จงได้ บางฝ่ายกระเหี้ยน
กระหือรือปานนั้น!!
ส่วนตัวผมคิดว่า เราควรต้องมา “ลำดับประเด็น” กันให้ดีๆ ว่าเรื่องนี้ต้อง “ไต่ลำดับ” แบบใด จึงจะเป็นขั้นตอนที่ถูกต้อง และนำไปสู่ “ความร่วมไม้ร่วมมือ” มากกว่านำไปสู่ “ความขัดแย้ง” กล่าวคือ
1) ต้องยืนยันความจริงให้ได้ ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง
2) เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดนอกราชอาณาจักรไทย หรือนอกประเทศไทย เราจึงไม่มีอำนาจที่จะไป “ไต่สวนข้อเท็จจริง” ในประเทศอื่น แม้กัมพูชาจะเป็นประเทศเพื่อนบ้านกันก็เถอะ จะทำการใดก็ต้องเริ่มต้นหรือทำโดยประเทศนั้นๆ เราทำได้คือสอบถาม ประสานเร่งรัดหรือเสนอตัวขอเข้าร่วมค้นหาความจริง
3) ทุกฝ่าย-ทุกคน ต้องตั้งอยู่บนหลักการ“ความเป็นมนุษย์” ด้วยกัน ว่า วันเฉลิมยังเป็นพลเมืองไทยแม้หลบหนีไปอยู่นอกประเทศ แต่สิทธิที่จะได้รับการดูแล หาข้อเท็จจริง หาตัวให้พบ หรือหาศพกลับมาทำพิธีทางศาสนา ก็แล้วแต่กรณีนี้ วันเฉลิมและครอบครัวยังต้องได้รับสิทธินี้โดยไม่มีข้อแม้ เช่น บางพวกบอกว่า ก็หนีออกไปแล้ว จะเอาอะไรอีก เราอย่าคิดแบบ “พวกมึง-พวกกู”กันเลยครับ เราต้องคิดว่า ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับสมาชิกในครอบครัวของเรา เราจะ “เป็นทุกข์” ขนาดไหน เราย่อมต้องการความจริงและความเป็นธรรมเหมือนครอบครัวของ “วันเฉลิม” นี่แหละ
แต่เวลานี้ บางคน-บางกลุ่ม ได้ออกตัว “ล้ำหน้า”ทำเสมือนว่ารัฐไทยรู้เห็น หรือเป็นผู้ลงมือกระทำเสียเองอย่างนั้นแหละ อาการ “ชังชาติ” หรือไม่ไว้วางใจประเทศไทยก็ฉายออกมา
“มารีญา พูลเลิศลาภ” มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2560 และท็อปไฟว์มิสยูนิเวิร์ส 2017 ออกมาเคลื่อนไหวเรื่อง “วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์” ผู้ลี้ภัยชาวไทยที่หายตัวไปในกรุงพนมเปญ กัมพูชา โดยมารีญาโพสต์อินสตาแกรมเป็นภาษาอังกฤษใจความว่า
นักเคลื่อนไหวชาวไทยคนหนึ่งที่ลี้ภัยไปอยู่กัมพูชาหายตัวไป และทั้งรัฐบาลไทย-รัฐบาลกัมพูชาต่างบอกว่ายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอบอกว่าสิ่งที่น่ากลัวก็คือ
ผู้ลี้ภัยชาวไทยจำนวนมาก “หายตัวไป” ล่าสุดคือถูกพบเป็นศพ ผ่าท้องยัดเสาปูนถ่วงน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สงสัยว่าเราอยู่ในประเทศแบบไหนกัน ในเมื่อเราไม่สามารถจะพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรได้ ทั้งที่คนเรามีความหลากหลาย ความคิดเห็นก็เช่นเดียวกัน
เธอบอกว่าสิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกกลัว และความกลัวนี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ คนไทยถูกควบคุมด้วยความกลัวมาตั้งแต่เธอจำความได้
“ฉันเบื่อที่จะตัองอยู่กับความกลัวแล้ว หรือว่าคุณไม่เบื่อ? ตอนนี้ฉันตื่นเต้นที่ได้เห็นคนไทยมีปากมีเสียงมากขึ้น เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงใกล้เข้ามาทุกที”
มารีญาบอกว่า เธออาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับวันเฉลิมก็ได้ เธอยังรู้เรื่องนี้ไม่มากพอที่จะพูดได้ แต่เธอขอยืนเคียงข้างคนไทยที่กำลังเรียกร้องว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันผิด และพวกเราต้องการคำตอบว่า “วันเฉลิมอยู่ไหน” พร้อมติดแฮชแท็ก #SaveWanchalerm
จน อุ๊-หฤทัย ม่วงบุญศรี ต้องออกมาโพสต์เฟซบุ๊คถึงมารีญาว่า
“การอุ้มฆ่าเป็นเรื่องใหญ่ร้ายแรงมากจริงๆ ค่ะแต่ตอนเกิดเหตุคุณวันเฉลิม อยู่ที่ประเทศกัมพูชานะคะ คุณมารีญาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมิใช่หรือคะ? การตั้งคำถามแบบนี้แสดงว่าคุณมั่นใจและฟันธงแล้วว่า การอุ้มคุณวันเฉลิมเป็นฝีมือของทางการไทย?
คำถามคือทางการไทยจะได้อะไรจากการตายของคุณวันเฉลิมคะ?
คุณวันเฉลิมไม่ใช่ผู้ที่มีความผิดกฎหมายร้ายแรงขนาดนั้นหรอกค่ะ หรือว่าคุณมารีญามั่นใจว่า คุณวันเฉลิมมีความผิดร้ายแรงมาก ขนาดว่าทางการไทยต้องอุ้มฆ่าเค้าคะ? ซึ่งจะหมายความว่าการดำรงอยู่ของคุณวันเฉลิมส่งผลกระทบกับประเทศชาติ(ไทย)อย่างใหญ่หลวง!
คุณวันเฉลิมคือใคร? คุณมารีญารู้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับเค้าหรือเปล่า?
เราช่วยกันตามหาตัวคุณวันเฉลิมให้เจอก่อนดีกว่าค่ะ
ช่วยกันหาแรงจูงใจว่า อะไรคือเหตุผลที่เกิดเรื่องร้ายแรงกับเค้า? และพิสูจน์ความจริงเพื่อให้ได้คำตอบก่อน สังคมไทยติดตามอยู่แน่นอนค่ะ
การด่าประเทศไทยมันสรุปเร็วเกินไปหรือป่าวคะ? คุณมารีญา!
ยังมีอีกหลาย “คู่ขัดแย้ง” ที่เกิดจากการแสดงออกในเรื่องนี้ แต่มุมที่น่าคิด น่าขับเคลื่อนที่สุด คือมุมมองของประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน
โดย นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ด้วยปรากฏข่าวตามสื่อต่างๆ และแถลงการณ์ของผู้เกี่ยวข้อง กล่าวอ้างว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 นายวันเฉลิม หรือตาร์สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นัก กิจกรรมการเมืองชาวไทยที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรกัมพูชา ได้ถูกกลุ่มบุคคลนำตัวขึ้นรถหายไปในขณะที่กำลังซื้อสินค้าที่หน้าอาคารที่พักในกรุงพนมเปญราชอาณาจักรกัมพูชาและปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าข้อเท็จจริงเป็นประการใด แต่เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน และมีองค์กรต่างๆ ออกมารณรงค์เรียกร้องความยุติธรรม และเรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ดำเนินการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในกรณีดังกล่าว
นายวัสกล่าวว่า นอกจากกรณีนายวันเฉลิมแล้วยังมีกรณีกล่าวอ้างว่า นักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวไทยที่ไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศถูกบังคับให้สูญหายอีกหลายกรณี ได้แก่ 1) กรณีนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ กับพวกอีกสองคน คือ นายชัชชาญ บุปผาวัลย์ และนายไกรเดช ลือเลิศ ได้หายตัวไปจากบ้านพักขณะที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 2) กรณีนายสยาม ธีรวุฒ กับพวกอีกสองคน คือ นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์ และนายกฤษณะ ทัพไท ถูกจับกุมที่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและส่งตัวกลับมายังประเทศไทยแล้ว ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด แต่กองบังคับการปราบปรามได้ยืนยันว่ายังไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานใดทำการจับกุมตัวนายสยามมาส่งมอบแก่พนักงานสอบสวน
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และได้รับแจ้งเป็นการภายในว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางเข้ามายังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามของนายสยามและพวกอีกสองคนแต่อย่างใด ในเรื่องนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้มีข้อเสนอแนะไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้องแล้ว
นายวัสกล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและเสรีภาพของคนไทยในต่างประเทศ แต่เหตุการณ์ตามข้อกล่าวอ้างเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย จึงไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะดำเนินการตรวจสอบได้แต่สมควรดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอำนาจโดยตรง ดังนั้นจึงได้ขอความร่วมมือให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือ พยานหลักฐาน เพื่อทำความจริงให้ปรากฏและเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบโดยทั่วกัน ในการนี้กระทรวงการต่างประเทศอาจประสานกับครอบครัวของนายวันเฉลิมให้ส่งข้อมูลหรือพยานหลักฐานทั้งปวง ที่แสดงว่ามีการถูกบังคับให้สูญหายไปยังกระทรวงการต่างประเทศโดยตรงเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
“ที่ผ่านมา กสม.มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในการตรากฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ภายใต้เจตนารมณ์ที่สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED) ซึ่งประเทศไทยได้ให้ความเห็นชอบในหลักการแล้ว พร้อมทั้งขอให้คณะรัฐมนตรีเร่งเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (ICPPED) ด้วย เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันที่ชัดเจนในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน” นายวัส กล่าว
ดังนั้น อย่าเพิ่งทำเรื่องนี้ให้เป็น “จินตนาการโลดโผน” และขัดแย้งเกลียดชังกันเองอยู่เลย หาคำตอบกันว่า วันเฉลิมอยู่ในกัมพูชาโดยทางการไม่รู้ไม่เห็นหรือให้การ
รับรองในฐานะผู้ลี้ภัย แต่ไม่ว่าจะฐานะใด เหตุการณ์นี้เกิดในกัมพูชา การค้นหาความจริงเป็นอำนาจของกัมพูชา แต่เป็นความชอบที่ไทยจะประสาน ขอความร่วมมือ เร่งรัด กดดัน และขอเข้าร่วมค้นหาความจริงได้
ขอเพียงรัฐไม่เพิกเฉย และรับคำกล่าวหาว่าเป็นผู้ร้ายอย่างนิ่งเฉยและเย็นชา
ขอให้รัฐซึ่งมีอำนาจ มีหน้าที่และมีความสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชา “ใส่ใจ” สักหน่อย กระตือรือร้นสักหน่อย
เรื่องที่เพียงแค่อาจจะเป็นการมโน หรืออาชญากรรมธรรมดา หรือเรื่องเกี่ยวกับกัญชาที่มีคนตั้งข้อสงสัยกัน หรือขัดผลประโยชน์อื่นใด หรือถูกอุ้มหายไปจริงๆ มันก็จะหยุดอยู่แค่ความเป็น “คดีอาชญากรรม”ที่ไม่ต้องปลุกปั่นปรักปรำ ให้เข้าใจไปว่า รัฐเป็นผู้ขจัด“วันเฉลิม”
ที่หากตั้งสติกันดีๆ จะนึกได้ว่า มันไม่อาจหาคำตอบใดได้เลยว่า “วันเฉลิม” สำคัญอะไร ขนาดที่รัฐไทยต้องกำจัดเขาในต่างประเทศ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี