ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ (Tammy Duckworth) เกิดที่กรุงเทพมหานคร ในปี 2511 บิดาคือ นายแฟรงค์ ดักเวิร์ธ อดีตทหารผ่านศึกที่มาพบรักกับมารดาของเธอคือ คุณละมัยสมพรไพลิน ในช่วงสงครามเวียดนาม หลังปลดประจำการบิดาของเธอได้ย้ายไปทำงานให้กับ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ(United Nations Development Program) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เด็กหญิงแทมมี่ต้องเดินทางไปทั่วในพื้นที่อุษาคเนย์นี้ ก่อนที่ครอบครัวดักเวิร์ธจะไปลงหลักปักฐานที่สหรัฐอเมริกา ตอนเธออายุ 16 ปี
ในปี 2535 ภายหลังจบปริญญาโท ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จาก George Washington Universityแทมมี่ได้เข้ารับราชการในกองทัพบก สหรัฐฯ และเลือกที่จะเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นตำแหน่งที่ใกล้ชิดกับการสู้รบในสมรภูมิประจัญบานมากที่สุดเพียงไม่กี่ตำแหน่งที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงปฏิบัติภารกิจแบบนี้ได้
ในปี 2547 ขณะมียศร้อยเอกและอยู่ระหว่างการทำปริญญาเอกด้านรัฐศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐศาสตร์การเมืองว่าด้วยระบบสาธารณสุขในภูมิภาคอุษาคเนย์ ที่ Northern Illinois University แทมมี่ขอลาพักการศึกษาและอาสาไปรบในสงครามอิรักและระหว่างการปฏิบัติภารกิจ เฮลิคอปเตอร์แบบ Blackhawk ที่เธอเป็นนักบินถูกยิงด้วยจรวดอาร์พีจีจากฝ่ายตรงข้าม เหตุการณ์นั้นทำให้เธอต้องสูญเสียขาทั้งสอง
ภายหลังจากการนอนรักษาตัวอยู่นานกว่า 13 เดือน แทมมี่กลับเข้ามาทำงานที่กระทรวงกิจการทหารผ่านศึกจนได้รับตำแหน่งอธิบดีกรมกิจการทหารผ่านศึกรัฐอิลลินอยส์ และต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงเดียวกัน ในระดับรัฐบาลกลาง สมัยโอบามา ในปี 2552 และหลังจากนั้น เธอก็กลับไปเรียนต่อปริญญาเอกที่เคยเรียนค้างคาไว้จนจบที่ Capella Universityในปี 2558 โดยเปลี่ยนไปทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องทางด้าน การบริการและเข้าถึงชีวิตและจิตใจของเพื่อนมนุษย์ (Human Service)
ในปี 2555 แทมมี่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 8 รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา เธอกลายเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสุภาพสตรีพิการคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันและยังเป็น สส.เชื้อสายไทย-อเมริกันคนแรกในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ อีกด้วย และอีก 4 ปีต่อมา เธอก็ได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิก รัฐอิลลินอยส์ ในปี 2559 ตำแหน่งเดียวกับการแจ้งเกิดทางการเมืองของ บารัค โอมาบา เมื่อ 12 ปีก่อน
ปัจจุบัน มิถุนายน 2563.....พันโท ลัดดา แทมมี่ดักเวิร์ธ อดีตทหารผ่านศึกสงครามอิรัก...หนึ่งในนักการเมืองหญิงผู้โดดเด่นคนหนึ่งในการเมืองอเมริกัน....กำลังเป็นหนึ่งในผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อของบุคคลที่ โจ ไบเดน กำลังเลือกเฟ้นเพื่อมาเป็น running mate หรือคู่สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ของเขาในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปลายปีนี้
การเลือก VP หรือ Vice President เพื่อเป็นรันนิ่งเมทของ โจ ครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก และประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันที่ผ่านมาได้สอนให้รู้แล้วว่าการเลือก runningmate ที่ผิดพลาดของแคดิเดตประธานาธิบดีนั้นส่งผลถึงขั้นการปราชัยในการเลือกตั้งดังเช่นในกรณี การเลือกตั้งปี 2551ที่จอห์น แมคเคน เลือก ซาร่า เพลิน มาเป็นคู่ running mate(ดู “ซาร่าห์ เพลิน กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”,ในแนวหน้า ฉบับวันที่18 เมษายน 2555)
นอกจากนี้ด้วยวัย 77 และสุขภาพเริ่มเสื่อมถอยหาก โจ ไบเดน ได้รับการเลือกตั้ง เขาจะเข้ามาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังมีปัญหามากมาย ตั้งแต่เรื่องโควิด-19อันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวงและยังถูกกระหน่ำซ้ำเติมด้วยการประท้วงภายในประเทศซึ่งบานปลายแตกออกไปเป็นอีกหลายปัญหา ไม่ว่าจะเป็น การเหยียดผิว ความเหลื่อมล้ำการว่างงานและความแตกแยกของผู้คน ไปจนถึงเรื่องการปฏิรูปตำรวจ
ปีที่แล้ว ตอน โจ ไบเดน ตัดสินใจลงเลือกตั้งเพื่อสู้กับทรัมป์ สุขภาพเขายังดีกว่านี้มาก แต่พอมาปีนี้ เขาดูอ่อนล้าลงอย่างเห็นได้ชัดดังนี้ ทรัมป์จึงมักจะเรียกเขาว่า Sleepy Joe หรือโจ...ผู้น่าเบื่อ ตัว โจ เองก็รู้ว่าเขาชักจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ดังนั้นจึงประกาศว่า ถ้าได้รับเลือกตั้ง เขาจะเป็นแค่สมัยเดียว
ดังนั้น ถ้าสังขารของ โจ ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงาน....VP ของเขาก็จะต้องก้าวขึ้นมาทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีแทนตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ สหรัฐอเมริกา
การเลือก running mate ของโจ ยังถูกล็อกไว้ด้วยเงื่อนไขบางอย่าง เช่น คู่สมัครชิงตำแหน่ง รองประธานาธิบดี ของเขาครั้งนี้ยังไงก็ต้องเป็นผู้หญิง แต่มันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เพราะทีมงานคัดสรร VP ยังต้องวิเคราะห์ต่อไปอีกว่าควรจะเป็นผู้หญิง ผิวขาว หรือ ผิวสีแบบไหนจะทำให้มีความได้เปรียบทางการเมืองมากกว่ากัน โดยในระยะแรก แคนดิเดค VP ผู้หญิงผิวขาว อย่างเอลิซาเบธ วอร์เรน วุฒิสมาชิก รัฐแมสซาชูเซตส์, เอมีคอบาชา วุฒิสมาชิก รัฐมินนิโซตา หรือ เกรทเช่น วิทเมอร์ผู้ว่าการรัฐมิชิแกน ถือเป็นสามตัวเต็ง
แต่ในระยะหลังมานี้ ทีมงานของโจ เริ่มหันมาให้น้ำหนักกับ แคนดิเดค VP ผู้หญิงผิวสีซึ่งก็ต้องมองต่อไปว่า....ถ้าเป็นผิวสีควรจะเป็นผิวสีแบบไหน.....
ผิวสี แบบ แอฟริกัน-อเมริกัน เช่น ไกชา บัตทอม นายกเทศมนตรี เมืองแอตแลนตา ที่กำลังมีบทบาทโดดเด่นในการจัดการรับมือกับการชุมนุมประท้วงที่แอตแลนตาในตอนนี้ หรือ วัล เดมิงส์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐฟลอริดาอดีตผู้บัญชาการตำรวจ เมืองออร์แลนโดผู้มีบทบาทในกระบวนการถอดถอนทรัมป์ ในสภาคองเกรสเมื่อปีก่อน ถ้าโจต้องการคะแนนเสียรัฐนี้ที่บางครั้งก็เป็นรัฐสีแดง (รีพับลิกัน) บางปีก็เป็นรัฐสีน้ำเงิน(เดโมแครต)
ผิวสี แบบ ลาติน-อเมริกัน เช่น มิเชลล์ กริชแชม ผู้ว่าการรัฐนิวเม็กซิโก อดีตประธาน สส.เชื้อสายลาติน-อเมริกัน...หรือผิวสี แบบ เอเซียน-อเมริกัน...พันโทลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี