ผ่านไป 1 วันกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่เป็นการผ่านงบประมาณที่จะใช้ในการบริหารประเทศในปีงบประมาณหน้า เพื่อให้การบริหารไม่สะดุดลงด้วยเงินงบประมาณที่ขาดช่วง ซึ่งในครั้งนี้ก็มีเรื่องที่แตกต่างจากการจัดทำงบประมาณแบบปกติ คือการจัดทำงบประมาณในครั้งนี้เป็นการจัดทำงบประมาณเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคมหลังวิกฤติโควิด ซึ่งได้มีการให้หน่วยราชการกลับไปทบทวนงบประมาณแล้วตั้งแต่ช่วงของการปรับงบประมาณให้เข้ากับสถานการณ์โควิด ด้วยการออก พ.ร.บ. โอนงบฯ ที่ผ่านสภาไปแล้ว แต่ก็มีเรื่องท้วงติงงบประมาณปี 2564 ไม่น้อยจากฝ่ายค้านในเรื่องของความเหมาะสมของงบประมาณ ซึ่งหนึ่งในนั้นคืองบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมที่เป็นเป้าโจมตีมานานแล้ว ยิ่งในตอนนี้ฝ่ายค้านพยายามตั้งประเด็นว่าในสถานการณ์ปัจจุบันสามารถตัดงบประมาณได้อีกหรือไม่? เพราะด้านการป้องกันประเทศด้วยยุทโธปกรณ์อาจเป็นเรื่องรองกว่าการสาธารณสุขที่ควรได้รับงบประมาณมากขึ้นจากแต่ก่อนเพื่อตอบสนองภัยรูปแบบใหม่ ซึ่งในความเป็นจริงคงต้องดูในเรื่องรายละเอียดก่อน
การพิจารณางบประมาณปี 2564 ครั้งนี้จึงถูกเพ่งเล็งและตั้งคำถามโดยพรรคฝ่ายค้านอย่างแน่นอน โดยเฉพาะพรรคก้าวไกลที่ได้ออกมาตั้งธงคำถามกับงบประมาณประจำปี 2564 ตั้งแต่ก่อนที่เข้าสภาแล้วว่า พรรคมีข้อสังเกตเกี่ยวกับงบฯ 64 อยู่ 4 ข้อ คือ หนึ่งยังไม่เป็นทิศทางที่ชัดเจนจากรัฐบาลว่าจะนำประเทศไปสู่ทิศทางใด ไม่มีการพูดถึงแผนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ สองการจัดสรรงบฯไม่มีความแตกต่างกับงบฯปกติ สามปัญหาความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการที่ยังคงอยู่เหมือนเดิม งบแบบรวมศูนย์ไม่ส่งเสริมการกระจายอำนาจ และสี่การขาดวิสัยทัศน์และภาวะผู้นำของหัวหน้ารัฐบาล ทำให้งบฯประมาณไม่สามารถตอบโจทย์ของประเทศหลังโควิดได้ ซึ่งการพิจารณางบฯในสภาครั้งนี้เป็นโอกาสที่รัฐบาลจะได้ตอบคำถามฝ่ายค้าน และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน รวมถึงข้อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาลในอนาคตเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องการการเยียวยาอย่างรวดเร็วในสถานการณ์ที่เกิดจากวิกฤติโควิด ผลงานของรัฐบาลในการแก้ปัญหาอาจส่งผลต่อรัฐบาลในระยะยาว หรืออาจเป็นการสร้างเครดิตถึงการเลือกตั้งในครั้งต่อไปหรือไม่? และอาจเป็นจุดเปลี่ยนในการปรับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาลก็ได้
พ.ร.บ.งบประมาณที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งเมื่อพิจารณาเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองที่มององค์ประกอบเพียงแค่เสียงสนับสนุนจาก สส. เกินกึ่งหนึ่งของสภาและยังมีเสียงไหลเข้าเรื่อยๆ มากกว่าการออกจากการร่วมรัฐบาล ส่วนของพรรคหลักอย่างพลังประชารัฐก็ได้พี่ใหญ่อย่างพล.อ.ประวิตร มาเป็นหัวหน้าพรรคอย่างเต็มตัวเพื่อกุมบังเหียน คุมทัพใหญ่ไม่ให้มีใครแตกแถว ใครจะว่าเหมาะสมหรือไม่? แต่หากพูดถึงความสามารถในการเจรจา และบารมีในการดูแลคนในพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตรก็ถือว่าเป็นผู้ที่น่าจะคุมเกมในพรรคได้ ซึ่งทำให้เชื่อว่าเรื่องในพรรคพลังประชารัฐจะนิ่งไปอีกพักใหญ่ และเริ่มมีกระแสข่าวว่าอาจจะเกิดรัฐบาลแห่งชาติหรือไม่หลังจากนี้? ด้วยความมั่นคงของพรรคพลังประชารัฐ และการยังไม่เร่งปรับครม. ในเร็ววันนี้ ย่อมส่งสัญญาณว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ยาว 4 ปี จนมีกระแสว่าบางส่วนจากพรรคเพื่อไทยเองอาจมีเสียงแตกที่กำลังหาลู่ทางเข้าร่วมรัฐบาล ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่?
แม้ว่าคุณหญิงสุดารัตน์ออกมาพูดดักทางไว้แล้วว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐแน่นอน แต่ในขณะนี้ฝ่ายเพื่อไทยเองก็ไม่รู้ว่าคุณหญิงสุดารัตน์ยังเป็นกระบอกเสียงเดียวจากพรรคเพื่อไทยหรือไม่? เพราะในอีกมุมหนึ่งก็ยังมีกลุ่มแคร์ที่มีข่าวว่าจะแตกตัวออกมาทำเรื่องที่ตัวเองสนใจ อีกทางหนึ่งก็ยังมีขุนพลไทยรักไทยเก่าอีกหลายคนที่ยังหวังจะได้กลับเข้ามาร่วมวงการการเมืองอีกครั้ง ซึ่งหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแตกไปร่วมรัฐบาลนั่นอาจจะถึงวาระเปลี่ยนแปลงของพรรคเพื่อไทยหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเพราะนายใหญ่ที่ในตอนนี้เอาใจออกห่างเพื่อไทย ไม่ได้เข้ามาจัดการระบบทั้งหมดเหมือนอย่างเคย? แถมยังไม่ชี้ให้ใครเป็นผู้นำที่ชัดเจน จึงทำให้เกิดความระส่ำภายในพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่?
ฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีกระแสรอยร้าวภายในพรรค แต่ก็เหมือนจะหยุดลงแล้วโดยบารมีประธานสภาชวนที่ออกมาห้ามศึกครั้งนี้ พร้อมประสานรอยร้าวในทุกกลุ่มภายในซึ่งทำให้ทุกคนยังมั่นใจว่าหากมีการปรับ ครม. ในอนาคต โควตาของพรรคประชาธิปัตย์ยังคงเหมือนเดิมและน่าจะไม่มีการปรับเก้าอี้รัฐมนตรีใดๆ ในโควตาพรรค ฝั่งพรรครวมพลังประชาชาติไทยมีการลาออกของหัวหน้าพรรค และการตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ตามมาด้วยการแยกตัวของหมอวรงค์ที่จะออกมาตั้งกลุ่มโดยมีการแถลงข่าวว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อให้ความรู้ความจริงและทางออกที่ดีให้กับชาติบ้านเมือง ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะมีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มก้าวหน้า ทำให้เชื่อว่าการแยกตัวในครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรผิดใจกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย แต่เป็นการเตรียมพร้อมรับมือในอนาคตหากมีเหตุให้ต้องทำ
หรือไม่?
ความสัมพันธ์ภายในฝ่ายค้านระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยที่ดูอึมครึม ในขณะที่เพื่อไทยที่มีจำนวนเสียงมากกว่าแต่ก็ไม่สามารถคุมเกมฝ่ายค้านได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ความโดดเด่นกลับไปตกอยู่ที่พรรคก้าวไกลที่สามารถจุดประเด็นได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการช่วงชิงบทนำในสภากันไม่น้อยว่าตกลงแล้วใครคือผู้นำฝ่ายค้านกันแน่? เพราะแม้พรรคก้าวไกล หรือคณะก้าวหน้าแฟนคลับก็ยังมองไม่ออกว่า
ใครเป็นผู้นำกันแน่ แนวทางการต่อสู้ในระบบรัฐสภาของพรรคก้าวไกลต้องรอการอนุมัติจากคณะก้าวหน้าหรือไม่?
แม้ว่าตอนนี้การปรับ เก้าอี้ ครม. น่าจะเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดแล้ว แต่เรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญต่อจากนี้คือเรื่องของการบริหารประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของปากท้อง เศรษฐกิจทั้งระบบ ที่จะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในความสามารถของรัฐบาล เก้าอี้ที่ดีที่สุด ไม่ใช่เก้าอี้ของอำนาจ แต่เป็นเก้าอี้ที่นั่งในใจของประชาชนมากกว่าที่ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพที่มั่นคง.....
“ท่านผู้มีสติปัญญานั้น ถึงมาตรว่าจะนั่งนอนหลับตาอยู่ในเรือน มิได้เห็นกิจการทั้งปวงเลย ก็สามารถจะคิดเอาชัยชนะแก่ข้าศึกร้อยพันได้”
เล่าปี่ สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี