ประเทศไทยนั้นมีประชากรประมาณ 67-68 ล้านคนโดย 38 ล้านคน อยู่ในวัยทำงานโดยประมาณ ซึ่ง 96% ในจำนวนนี้เป็นผู้มีงานทำ (เฉลี่ย 37 ชั่วโมงต่อหนึ่งสัปดาห์) ส่งผลให้ประเทศไทยมีคนว่างงานและกึ่งว่างงานน้อยมาก และเมื่อรวมกับความอุดมสมบูรณ์ทางด้านอาหาร และค่าครองชีพที่พอรับกันได้ (Affordable) ทำให้ปัญหาอดอยากแร้นแค้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีในสังคมไทย
สิ่งนี้ถือเป็นงานชิ้นโบแดงของชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน และชาวประมง จำนวนประมาณ 12 ล้านคนซึ่งคิดเป็นประมาณ 1/3 กว่าๆ ของแรงงานทั้งหมดของไทย
ด้วยเหตุนี้ ในกระบวนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน ประเทศไทยจึงถูกจัดอยู่ในระดับประเทศชั้นนำโดยเรามีอันดับเศรษฐกิจ ในระดับ 25 ประเทศแรกของโลก
แต่เมื่อมีวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 เกิดขึ้น ความน่าแปลกใจทางตัวเลขสถิติก็เกิดขึ้น เพราะดันปรากฏว่ามีชาวไทยถึง 30 ล้านกว่าคน มุ่งกันไปลงทะเบียนเพื่อรับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ (ซึ่งก็เป็นเงินงบประมาณรัฐ จากคนไทยที่เสียภาษีนั่นเอง)
ถ้าเอาจากสถิติแล้ว ในจำนวนนี้คิดคร่าวๆ ประมาณว่าครึ่งหนึ่งคือ 15 ล้านคน เป็นคนโสดอีกครึ่งหนึ่งมีครอบครัว และฉะนั้นคงต้องดูแลลูกหลาน ญาติผู้ใหญ่ หรือคนพิการที่ดูแลตนเองไม่ได้อีก 15 ล้านคนก็เท่ากับว่ามีผู้ขอความช่วยเหลือ (5,000 บาท x 3 เดือน)30 ล้านคน บวกผู้พึ่งพาอีก 15 ล้านคน รวมกันก็ประมาณ 45 ล้านคน
นัยหนึ่งก็เป็นที่น่าตกใจก็คือ กลุ่มคนจำนวนรวมกันเป็น 2/3 ของประชากรไทยทั้งประเทศ จัดได้ว่าต้องพึ่งรายได้ค่าจ้างประจำวัน ค่าแรงตนเอง (เกษตรกร) และรายได้จากการขายของเล็กๆ น้อยๆ แบบหาเช้ากินค่ำไม่มีเงินออมใดๆ และคงจะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ต่างมีหนี้สิน (สถิติกล่าวว่าร้อยละ 85 ของครอบครัวเรือนไทยเป็นหนี้เป็นสิน) สะท้อนว่ามีการใช้จ่ายเกินรายรับ และฉะนั้น อนาคตไม่แจ่มใส วางแผนชีวิต วาดโครงการชีวิตไม่ได้ แต่อยู่ไปวันๆ หนึ่งให้รอดๆ ไป
ชีวิตจึงขาดความหวัง และขาดความมั่นคง ตากหน้าไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น
ขณะที่ก่อนหน้านี้ ก็ได้มีตัวเลขสถิติความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของไทยออกมาว่า ทรัพย์สินร่วมของชาติถึงร้อยละ 60 ถูกจับจองเป็นเจ้าของโดยผู้คนจำนวนไม่ถึงร้อยละ 10 (โดยในจำนวนนี้มีร้อยละ 1 ที่ครอบครองทรัพย์สินหักหนี้สินถึงร้อยละ 80) เท่ากับว่าความมั่งมีศรีสุขในสังคมไทยนั้นแสนจะกระจุกตัว และไทยได้รับการจัดอันดับโลกว่าเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงสุด
จึงเป็นคำถามคาใจว่า มันเป็นได้อย่างไรในเมื่อประเทศไทยนั้นเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เป็นครัวโลก เป็นจุดหมายปองของการท่องเที่ยวโลกที่ไม่เป็นรองใคร มีชาวต่างชาติมาเที่ยวประเทศไทยถึงปีละ 45 ล้านคน (จำนวนเท่ากับคนไทย 45 ล้านชีวิต ที่อยู่แบบหาเช้ากินค่ำ)
นี่จึงเป็นการบ้านของคนไทยเราทุกคน โดยเฉพาะฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการ ฝ่ายพนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าของกิจการ หรือบรรดานายจ้างน้อยใหญ่ และผู้มีมรดกตกทอดทั้งหลาย
ไทยเราต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำนี้ให้ได้ จะปกปิด จะเพิกเฉย ปล่อยปละละเลยไม่ได้ เพราะความเหลื่อมล้ำนั้นแสนจะประจักษ์ จับต้องได้ และนโยบายมาตรการประชานิยมก็แก้ไม่ได้ เป็นการซื้อเวลา ซื้อคะแนนนิยม (ด้วยเงินภาษีราษฎร) หรือการปัดสวะไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น เป็นการเพาะความคุกรุ่น ความเจ็บปวดที่มันปุดๆ อยู่ทั่วไป เหมือนโคลนนิ่งผู้ร้ายที่ผลุบโผล่อยู่ตลอดเวลา รอจังหวะที่จะพุ่งระเบิดออกมาพร้อมๆ กับเป็นภูเขาไฟระเบิด หรือจะเป็นคลื่นสึนามิก็ว่าได้
ผมได้ดูและอ่านสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (เคยอยู่ในสังกัดของสำนักนายกรัฐมนตรี และโอนมาอยู่กระทรวงตั้งใหม่ไม่นาน) คือกระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัล(ยังหาคำไทยแทนไม่ได้โดยราชบัณฑิตยสถานและนักภาษาศาสตร์) ก็มีการแยกแยะแรงงาน 38 ล้านคนเป็นกลุ่มอาชีพต่างๆ ซึ่งดูไม่ชัดเจน ไม่กระชับเท่าที่ควร และไม่ค่อยจะมีความเป็นสากล แต่ถึงอย่างนั้นรัฐบาลประยุทธ์ 2 ก็มิได้ใช้ประโยชน์มาจนทุกวันนี้ในการค้นหาใครจน ใครยากไร้ ใครต้องได้รับความช่วยเหลือก่อนหลัง แต่กลับโยนภาระให้คน 30 ล้านคนกรอกใบคำร้องด้วยระบบดิจิทัล ทั้งที่สถิติก็พอมีอยู่ที่สำนักงานสถิติดังกล่าว และที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ที่สำนักงานทะเบียนราษฎร ที่สำนักงานเศรษฐกิจและพัฒนาสังคม และกระทรวงแรงงาน เป็นต้น ส่วนทางธนาคารพาณิชย์ สภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมก็น่าจะมีตัวเลขอยู่ในมือที่จะนำมาเพื่อทำงานร่วมกับรัฐบาล แต่รัฐบาลกลับคิดถึงและฝากผีฝากไข้ทำตัวเป็นลูกน้องบรรดาเสี่ยๆ 20 ครอบครัวยักษ์ใหญ่ ในการจะหาทางออกให้กับสังคมไทย
ในชั้นนี้ขอเรียกร้องให้รัฐบาลประยุทธ์ 2 ทบทวนสถิติประชาชน แบ่งแยกให้แน่ชัด และกำหนดนโยบายว่า จะดูแลแต่ละกลุ่มอย่างไร โดยเป้าหมายรวมคือ ขจัดความเหลื่อมล้ำ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี