ขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกของไทยได้ถดถอยมาเป็นเวลาหลายปี ด้วยเหตุผลของการมีคู่แข่งมากขึ้น ค่าแรงไทยสูงขึ้น ผสมกับการขาดการพัฒนาเทคโนโลยี และองค์ความรู้เป็นของตนเอง เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมาถูกซ้ำเติมด้วยโรคระบาดโควิด-19ส่งผลให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบ การส่งออกติดลบ นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงมากมาย และการไหลเข้ามาของการลงทุนจากต่างประเทศชะงักงัน บริษัทห้างร้าน โรงงาน ต้องปิดกิจการ คนตกงาน หรือคนว่างงานเป็นหลายๆ ล้านคน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประเทศไทยตกอยู่ในฐานะยากลำบาก
เมื่อประเทศชาติตกอยู่ในวิกฤติอันหนักหน่วงนี้ ก็ถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบของฝ่ายรัฐ หรือรัฐบาลที่จะต้องแก้ไข ลงแรง พยุง และฟื้นฟู
เท่าที่เห็น รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ดำเนินการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปบ้างแล้วด้วยการ
1) แจกเงิน (5 พันบาท/หัว/3 เดือน)
2) สมทบเงินประกันสังคม
3) กระตุ้นการท่องเที่ยว ด้วยการอุดหนุนจุนเจือผู้ประสงค์จะท่องเที่ยวในประเทศ
4) กู้เงิน 400,000 ล้านบาท เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า และท้องถิ่น เป็นต้น
5) ให้วงเงินธนาคารชาติเพื่อช่วยเหลือแวดวงธนาคาร ไปสู้ธุรกิจเอกชน
6) ลดเก็บ หรือลดค่าสาธารณูปโภค และค่าเดินทางประจำวัน เป็นต้น
ในกรณีของวงเงิน 400,000 ล้านบาท ก็ใช้วิธีให้หน่วยราชการและมิใช่ราชการเสนอโครงการเข้ามาที่ส่วนกลางพิจารณาอนุมัติ (สภาพัฒน์/ครม.) ในแง่หนึ่งก็ดีที่เป็นการดำเนินเรื่องแบบจากล่างสู่บน (Bottom up) แต่ปัญหาก็คือ ขาดกรอบ ขาดเป้าหมายที่ชัดเจนในการตั้งโจทย์ หรือตอบสนองอะไร
การที่ฝ่ายรัฐจะเอาเงินไปแจกจ่ายนั้น ตัวฝ่ายรัฐต้องมีความคิด (Idea) พร้อมตัวเลขและข้อมูลอยู่บ้างเกี่ยวกับว่าพื้นที่และกลุ่มคนเป้าหมาย เช่น จะเอาไป “ลง” ที่ไหนอย่างไร หรือจะไปเติมให้เต็มในส่วนที่ขาด หรือว่ามีความเร่งด่วนตรงไหน
หลายประเทศเขาแยกตามกลุ่มคน/อาชีพเป็นหลัก เช่น
1) กลุ่มที่เป็นนายจ้างตนเอง หรือจ้างตนเอง (Self-employed)
2) กลุ่มแรงงานลูกจ้างประจำวัน หรือรับค่าจ้างรายวัน
3) กลุ่มนักแสดง (Performing Arts)
4) กลุ่มนักกีฬาอาชีพ
5) กลุ่มเจ้าของโรงมหรสพ พิพิธภัณฑ์
6) กลุ่มบริการขนส่ง รถรับจ้างต่างๆ
7) กลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ขายอาหาร ขายเครื่องดื่ม แบบหาบเร่ แบบแผงลอย เป็นต้น
8) กลุ่มโรงเรียนที่ฝึกอาชีพต่างๆ เป็นต้น
แล้วค่อยมีการจัดวงเงินเพื่อช่วยเหลือ ทั้งเงินให้เปล่าและเงินกู้ผ่อนปรน นอกจากนั้นก็จะมีให้ทุนศึกษาและทุนฝึกอบรม เพิ่มทักษะ หรือหาอาชีพใหม่ๆ เช่น การใช้ประโยชน์จากระบบเทคโนโลยีสื่อสารใหม่ๆ ในการทำมาค้าขายต่างๆ
ในกรณีของไทย ก็ขอกระตุกเตือนกันหน่อยว่า ก่อนจะอัดฉีดงบประมาณลงไปเพื่อเยียวยาเศรษฐกิจ ฝ่ายรัฐจะต้องรู้แน่ชัดแล้วว่า คนกลุ่มใดมีความจำเป็นเร่งด่วน (ที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ) แล้วค่อยจัดสรรดำเนินการว่างบประมาณประจำปีจะให้ที่ไหน และเงิน 400,000 ล้านบาทจะต้องเป็นเงินเพื่อใช้ในการเสริม หรือเติมที่ขาดเหลือและจำเป็นจริงๆ มิฉะนั้น จะกลายเป็นการเปิดช่องให้เกิดการทุจริตกันอย่างกว้างขวาง ผ่านการเสนอโครงการขึ้นมาเพื่อหาเรื่องใช้เงินงบประมาณ แล้วทำการทุจริตกันและสะเปะสะปะอย่างที่เห็นกันดาษดื่นในสังคมไทย
ผมติดใจที่ในวงเงิน 400,000 ล้านบาทนั้น เปิดโอกาสให้หน่วยราชการเสนอโครงการด้วย ซึ่งไม่ควร เพราะหน่วยราชการมีงบประจำปีอยู่แล้ว งบพิเศษนี้ควรมุ่งไปที่ประชาชนระดับรากหญ้าเป็นหลัก ทั้งที่เป็นเจ้าของกิจการรายย่อย และกลุ่มอาชีพอิสระ และกลุ่มแรงงานหาเช้ากินค่ำ
พวกละครเร่ (ลิเก ลำตัด ดนตรีท้องถิ่น) ก็เป็นกลุ่มหนึ่งที่ตกงานมากมาย และไม่มีข่าวว่าใครช่วยเหลือดูแล กลุ่มแรงงานท่องเที่ยวทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายก อบจ. จะต้องตัดสินใจพัฒนา
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี